
ปี พ.ศ.2568 จัดเป็นปีที่โชคไม่ดีสำหรับคนไทยอย่างเราๆจริงๆ ไม่เฉพาะแต่การเมืองจะไร้เสถียรภาพ เศรษฐกิจเต็มไปด้วยปัญหา ตั้งแต่การชะลอตัวจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ความเปราะบางของหนี้ภาคธุรกิจ ครัวเรือน ไปจนถึงภาวะขาดสภาพคล่อง และการตึงตัวของเงิน
แต่ยังรวมไปถึงการเปิดปฏิบัติการสู้รบกับเขมรเพื่อยึดคืนดินแดนของไทยเรากลับมาให้ได้ ภายใต้การยั่วยุต่างๆนานาของผู้นำเขมร
การลงนามในข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน ยังมีประเด็นน่าหวาดหวั่น ตรงที่การลาดตระเวนของทหารไทยไม่ปลอดภัย เพราะเขมรลอบเข้ามาวางกับระเบิดในฝั่งไทยจำนวนมาก และปฏิเสธที่จะเก็บกู้ออกไป
ทีนี้ถ้ามีทหารรายที่ 6 เหยียบกับระเบิดของเขมรอีก การสู้รบระหว่างไทยกับเขมรก็มีโอกาสสูงที่จะเปิดปฏิบัติการกันอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวมากในสภาพการณ์ที่เศรษฐกิจ และการเมืองไทยยังเป็นเช่นนี้อยู่
ในด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย แม้สำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะปรับประเมินเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวขึ้นเป็น 2.2% ดีขึ้นเล็กน้อยจากกรอบเดิม 1.7-2.1% แต่ก็สอดคล้องกับที่ IMF ปรับคาดการณ์จีดีพีไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2% จากที่เคยมองไว้ 1.8%
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ไทยยังต้องเผชิญสถานการณ์การเก็บภาษีศุลกากรเพื่อการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯในอัตรา 19% อยู่ แม้จะได้อยู่ในกลุ่มที่มีอัตราภาษีเท่าๆกันในอาเซียนก็เหอะ
แต่เอาเข้าจริงๆ รายได้จากการส่งออกของไทยก็ยังคาดการณ์กันว่า จะหายไปกว่า 200,000-300,000 ล้านบาทในปีหน้า ขณะที่สินค้าจากไทยไปสหรัฐฯจะมีราคาสูงขึ้น การแข่งขันในเวทีโลกคงจะดุเดือดเอาการ โดยเฉพาะมาตรฐานการผลิตและคุณภาพของสินค้าที่ยังมีความแตกต่างกัน แม้จะได้อัตราภาษีเท่าๆกันก็ตาม
สำนักงานเศรษฐกิจหลายแห่ง รวมถึง IMF จึงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีหน้าว่าจะขยายตัวเพียง 1.7% แปลว่า ปีนี้ยังสาหัสไม่พอ!
อย่างไรก็ตาม ผลเสียของการต้องเปิดนำเข้าสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯในอัตรา 0% ก็ยังมีผลดีอยู่บ้าง ตรงที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์จะราคาถูกลงเพราะไทยเราเปิดให้นำเข้าถั่วเหลือง และข้าวโพดจากสหรัฐฯในอัตรา 0%
รัฐบาลเชื่อว่า ราคาเนื้อสัตว์อย่างไก่ หมู และวัว จะมีต้นทุนที่ต่ำลง อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ของไทยที่มีต้นทุนถูกลงจะมีโอกาสแข่งขันได้มากขึ้น
สิ่งสำคัญคือ การปลูกข้าวโพดในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการเผาตอซังจะค่อยๆยุติลง และหยุดยั้งการเกิดมลพิษในอากาศหรือ PM 2.5 จากการเผาไร่ข้าวโพดได้
ส่วนภาคการเมืองก็อย่างที่เห็น ว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเดือนนี้ได้เพราะมี 2 เรื่องใหญ่ๆต้องตัดสินคือ ศาลอาญาตัดสินปิดคดี ม.112 ของ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร วันที่ 22 ส.ค.นี้ ตามด้วยวันที่ 29 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ขอให้ถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่ง เหตุจากคลิปเสียงสนทนากับอังเคิล ฮุน
ทั้งสองคดีนี้ ผู้ถูกกล่าวหาจะรอดหรือไม่ ก็ล้วนแต่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร สถาบันพระมหากษัตริย์และกองทัพ ก็แข็งแกร่งพอจะทำให้เราคนไทยอยู่กันอย่างปลอดภัยเสมอ.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม