
หลังจากสหรัฐฯประกาศเก็บภาษีตอบโต้ไทยอัตรา 19% และมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 แต่ยังมีประเด็นปลีกย่อยอื่นๆที่จะต้องเจรจาอีกมาก ก่อนที่จะลงนามความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ไทย-สหรัฐฯ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ และมีผลผูกพันตามกฎหมาย
สำหรับประเด็นหนึ่งที่จะต้องเจรจาเพิ่มเติม และสร้างความกังวลใจให้กับผู้เกี่ยวข้องในประเทศอย่างมาก คือ การเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ที่จะสร้างผลกระทบให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู และผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็ก รายย่อย รวมถึงผู้บริโภคในประเทศแน่นอน
หลายปีที่ผ่านมาสหรัฐฯได้เรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯมาโดยตลอด แต่ไทยยังไม่เปิดนำเข้า เพราะรู้แน่ว่าการเปิดนำเข้าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหมูของไทย เนื่องจากสหรัฐฯมีต้นทุนการเลี้ยงที่ต่ำกว่ามาก สามารถขายได้ในราคาถูก ซึ่งจะแย่งตลาดหมูของไทยแน่นอน
และที่สำคัญสหรัฐฯใช้ “แรคโตพามีน” ซึ่งเป็นกลุ่มสารเร่งเนื้อแดง ลดไขมันเพิ่มอัตราการเติบโตในการเลี้ยงหมู ซึ่งถือเป็นสารอันตราย เพราะมีงานวิจัยพบผลข้างเคียงในคน เช่น ความผิดปกติทางหัวใจ ระบบประสาท และความดันโลหิต ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคในประเทศได้
แม้ที่ประชุมคณะกรรมการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (CODEX) เดือน ก.ค.55 มีมติ 69 : 67 กำหนด “ค่าสูงสุด” ที่อนุญาตให้มีได้ (Maximum Residures Limitation : MRL) ในเนื้อหมู และเครื่องใน ที่ใช้แรคโตพามีนในการเลี้ยง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อนุญาตให้มีการใช้ได้
ดังนั้น ไทยจึงยังไม่ยอมเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐฯเสียที เนื่องจากกฎหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ห้ามการใช้แรคโตพามีนในการเลี้ยงเด็ดขาด และกฎหมายกระทรวงสาธารณสุขห้ามเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีสารตกค้างเด็ดขาดเช่นกัน หากใครฝ่าฝืนจะมีโทษหนัก
การดำเนินการของไทยสร้างความผิดหวังให้กับสหรัฐฯ จนถึงขั้นตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) สินค้าบางส่วนของไทยตั้งแต่เดือน ธ.ค.63 จนปัจจุบัน
โดยความจริงนี้ปรากฏอยู่ใน “รายงานประเมินสถานการณ์การค้าของสหรัฐฯจากมาตรการกีดกันการค้าของประเทศคู่ค้า” (NTE Report) โดย “สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ” หรือ USTR ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งล่าสุดปี 68 USTR ระบุว่า
แม้ CODEX กำหนด MRL แรคโตพามีนในเนื้อเยื่อหมูและโคแล้ว แต่ไทยก็ยังไม่เปิดนำเข้า และกำหนด MRL อีกทั้งในปี 62 ไทยและสหรัฐฯตกลงทบทวนความเสี่ยงกรณีที่ไทยจะกำหนด MRL แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ดำเนินการ ส่งผลให้สหรัฐฯตัด GSP ไทยตั้งแต่ 30 ธ.ค.63
แม้ “ทีมเจรจา” ยืนยันว่าจะเจรจาให้ดีที่สุด เพื่อจำกัดผลกระทบให้เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมหมูน้อยที่สุด แต่ในแง่ผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทย ไม่มีใครยืนยันได้ว่าจะเกิดอันตรายเพียงใด
เพราะหากนำเข้าจริง ไทยจะต้องแก้ไขกฎหมาย เพื่อยอมให้มีแรคโตพามีนในการเลี้ยง และตกค้างในผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดด้วย!!
ฟันนี่เอส
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม