
ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังดำเนินต่อเนื่อง เข้มข้น พร้อมไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่ปรับปรุงใหม่ เพิ่มบทลงโทษ บูรณาการการทำงานเชิงรุกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-20 ก.ค.2568 ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ AOC 1441 พบว่า จำนวนเคส เพิ่มขึ้นเป็น 165,342 เคส จาก 132,912 เคส ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 24.40% แต่มูลค่าความเสียหายลดลงเหลือ 10,872.31 ล้านบาท จาก 12,186.92 ล้านบาท หรือลดลง 10.79% มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยต่อเคสลดลงเหลือ 65,592.23 บาท จาก 91,116.45 บาท หรือลดลง 28% และค่ากลางของความเสียหายเหลือ 5,999.56 บาท จาก 7,000 บาท
แม้จำนวนคดีจะเพิ่มมากขึ้น แต่มูลค่าความเสียหายลดน้อยลง สะท้อนให้เห็นว่าเคสใหญ่ ความเสียหายสูงไม่ค่อยเกิดขึ้น โดยเคสที่มีมูลค่าสูงสุดที่เกิดระหว่าง 1 ม.ค.-20 ก.ค.2568 ที่แจ้งเข้ามายัง AOC 1441 ประกอบด้วย
เคสที่ 1 แจ้งเข้ามาวันที่ 22 ม.ค.2568 มูลค่าความเสียหายประมาณ 113.7 ล้านบาท เป็นการถูกหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ รู้จักกันผ่านทางไลน์ (LINE) คุยตีสนิทและชักชวนให้ลงทุนเปิดร้านติ๊กต่อกช็อป (Tiktok Shop) พอมีออเดอร์สั่งซื้อ ต้องโอนเงินเข้าไปในระบบ แต่ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้
เคสที่ 2 แจ้งเข้ามาวันที่ 10 ก.พ.2568 มูลค่าความเสียหายประมาณ 39.1 ล้านบาท เป็นการถูกหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยผู้เสียหายเห็นโฆษณาใน Tiktok หลังจากนั้นได้แอดไลน์ และถูกชักชวนให้ลงทุน พอจบโครงการให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีบุคคลธรรมดา เพื่อนำเงินออกมา จึงทราบว่าเป็น มิจฉาชีพ
เคสที่ 3 แจ้งเข้ามาวันที่ 14 ก.พ.2568 มูลค่าความเสียหายประมาณ 39.1 ล้านบาท เป็นการถูกหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยผู้เสียหายเห็นโพสต์สอนลงทุนเทรดหุ้นผ่านทาง TikTok จึงแอดเข้ากลุ่มไลน์ มีอาจารย์สอนการเทรดหุ้นจนจบโครงการ ช่วงแรกถอนเงินได้ ช่วงหลังถอนเงินไม่ได้
เคสที่ 4 แจ้งเข้ามาวันที่ 31 ม.ค.2568 มูลค่าความเสียหายประมาณ 34.1 ล้านบาท เป็นการถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วหลอกให้โอนเงิน โดยมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เบอร์ (จำเบอร์ไม่ได้) ติดต่อเข้ามาและให้เพิ่มเพื่อนในไลน์ เพื่อสนทนากับมิจฉาชีพที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยหลอกว่ามีคนนำข้อมูลเหยื่อไปเปิดบัญชี ข่มขู่ให้เหยื่อโอนเงินเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าถูกกฎหมายหรือไม่
เคสที่ 5 แจ้งเข้ามาวันที่ 4 มี.ค.2568 ความเสียหาย 31.6 ล้านบาท เป็นการแบล็กเมล์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทร.เข้าอ้างเป็นตำรวจ บอกเหยื่อไปเปิดบัญชีธนาคารที่มีความเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ให้ไปแจ้งความที่ สภ.ไทรโยค แต่เหยื่อไม่สะดวก จึงให้แอดไลน์วิดีโอคอลพูดคุยแจ้งข้อกล่าวหาและให้โอนเงินไปทั้งหมดเพื่อตรวจสอบ
ดร.เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ AOC 1441 เปิดเผยว่า 5 เคสความเสียหายสูงสุดที่ AOC ได้รับแจ้ง ล้วนเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของปี หลังจากนั้นมูลค่าความเสียหายต่อเคสทยอยลดลง และจะยิ่งลดลงต่อเนื่อง หลังวันที่ 1 ส.ค.2568 ที่ธนาคารพาณิชย์ได้กำหนดให้บัญชีโมบายแบงกิ้งเปิดใหม่ถอนเงินได้ไม่เกิน 50,000 บาททุกกรณี
ส่วนเทรนด์ที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงขณะนี้ ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่แอปพลิเคชันไลน์ เพราะคนไทยใช้ไลน์กันมาก มีการสุ่มหาเหยื่อผ่านกรุ๊ปไลน์ที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่ากรุ๊ปไลน์ด้านการลงทุน ด้านความชอบที่ตรงกัน ซึ่งมีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้าไปตกเหยื่อ รวมทั้งการหลอกผ่านบริการเมสเซนเจอร์ในเฟซบุ๊ก ขณะที่การหลอกลวงผ่าน SMS แนบลิงก์ รวมทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์แทบจะไม่มีแล้ว เพราะรัฐบาลล้อมคอกและประชาชนเริ่มตระหนักรู้
แต่ที่ยังชุกชุมทุกยุคสมัย ได้แก่ 1.การหลอกซื้อขายของ 2.หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 3.หลอกให้โอนเงินหารายได้พิเศษ 4.หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ 5.หลอกให้กู้เงิน
“ประชาชนจึงต้องเตือนสติตัวเองไว้เสมอ ในกรุ๊ปไลน์มีคนที่เราไม่รู้จักอยู่มากมาย นี่คือความเสี่ยงทั้งหมด นอกจากนั้น ของฟรี-ถูก-ดีไม่มีในโลก หรือหากลงทุนแล้วได้กำไรมหาศาลขนาดนั้น ถ้ามีจริง เขาจะมาชวนเราทำไม”.
ศุภิกา ยิ้มละมัย
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม