ทำไมไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% เท่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่กลับมีเรื่องต้องกังวลอีกมาก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทำไมไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% เท่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่กลับมีเรื่องต้องกังวลอีกมาก

Date Time: 1 ส.ค. 2568 18:01 น.

Video

SAWAKAMI บลจ.ญี่ปุ่นบุกไทย | BrandStory Exclusive EP.26

Summary

ไทยปิดดีลเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ! ถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% สูงกว่าค่าเฉลี่ยเดิมที่ 2% ซึ่งดีลใหม่นี้จะช่วยภาคส่งออกไทยติดลบน้อยลง และเศรษฐกิจไทยปี 68 รอดจากภาวะถดถอยเชิงเทคนิค

Latest


ข่าวใหญ่ที่หลายฝ่ายต่างจับตามองคือ ไทยสามารถปิดดีลเจรจาการค้ากับทางสหรัฐฯ ได้สำเร็จ! หลังจากลุ้นระทึกมาหลายเดือนว่าอาจเจอกับอัตราภาษีการนำเข้าสินค้าสูงถึง 36% ตามที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยประกาศไว้เมื่อเดือนเม.ย. 68

แต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 มีข้อสรุปการเจรจารอบล่าสุดออกมาแล้ว Thairath Money สรุปรายละเอียดที่น่าสนใจและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับไทยไว้ที่นี่แล้ว


ไทยเจอภาษี 19% ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน

แต่สูงกว่าเดิมที่เฉลี่ย 2%

แถลงการณ์ล่าสุดจากทำเนียบขาว (1 สิงหาคม 68) มีข้อสรุปว่าแต่ละประเทศจะถูกเก็บภาษีการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ในอัตราเท่าไร เช่น เวียดนาม อัตรา 20% อินเดีย 25% ขณะที่มาเลเซีย กัมพูชา รวมถึงไทยจะถูกจัดเก็บที่อัตรา 19% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ขณะที่มาตรการป้องกันการส่งผ่านสินค้าจากจีน (Transshipment Rate) สหรัฐฯ ยังคงจัดเก็บภาษีในอัตราที่ 40% สำหรับทุกประเทศ ตามเป้าหมายป้องกันการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีนที่อาจส่งผ่านประเทศที่มีภาษีต่ำเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งการเจรจาของไทยยังต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม

ในภาพรวมแม้เป็นข่าวดีที่ไทยไม่ต้องเผชิญกับอัตรา 36% เหมือนที่เคยประกาศไว้ แต่อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อไทยเสมอไป

เมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU เล่าว่า การบรรลุข้อตกลงของรัฐบาลไทยด้านภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal) กับสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% ถือเป็นดีลที่น่าพอใจ เพราะอัตราภาษีฯ ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคทำให้ไทยยังรักษาความสามารถการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้

แต่อัตราภาษีที่ 19% ยังสูงกว่าระดับเดิมที่ไทยเคยเสียภาษีเฉลี่ยเพียง 2% ซึ่งถือว่าปรับเพิ่มขึ้นมาเกือบ 10 เท่าจากเดิมที่ผู้ประกอบการไทยแทบไม่เสียภาษีเลย และกลายเป็นต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการไทย และอาจกระทบต่อยอดการส่งออกในระยะต่อไป

จากข้อสรุปนี้เองทำให้ TISCO ESU คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีโอกาสเพิ่มเป็น 1.9% จากเดิมที่ 1.6% และในปี 2569 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.6% จากเดิมที่ 1.4% ภายใต้เงื่อนไขว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/68 ขยายตัวใกล้เคียงหรือสูงกว่าประมาณการที่ 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ตัวเลขจริงจะไปทางไหนยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อาทิ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชา และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ฯลฯ


ไทยรอดภาวะถดถอยทางเทคนิค

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBT เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า ผลดีจากที่ไทยเจอภาษี 19% หนึ่งคือไทยน่าจะรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) จากเดิมที่คาดว่า GDP ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2568 อาจติดลบเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส

ทาง CIMBT ยังคงคาดการณ์ GDP ปี 68 ไว้ที่ 1.8% ภายใต้สมมติฐานที่ไทยเจอภาษีสูงกว่า 19% และเชื่อว่านโยบายการเงินและคลังยังพยุงเศรษฐกิจไว้ได้ แต่อาจมีการปรับคาดการณ์ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยยังคงคาดว่าเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังชะลอตัวลงจากปัจจัยเสี่ยงที่รุมเร้า

ทั้งนี้ หากมองลึกถึงกรณีไทยเจรจาอัตราภาษีฯ ได้ที่ 19% ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากการเจรจาลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% ในสินค้าส่วนใหญ่ ต่างจาก "ทุกรายการ" เหมือนที่เวียดนามและอินโดนีเซียให้ทางสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ไทยอาจต้องเจรจานำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น (เช่น แก๊ส, กลุ่มเกษตร) ไปจนถึงพร้อมเปิดตลาดภาคบริการและการลงทุนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันมากขึ้น

ดังนั้น แม้ผลการเจรจาภาษีที่ 19% อาจดีกว่า 36% เพราะคาดว่าจะช่วยให้การส่งออกไทยหดตัวน้อยกว่าที่คาด จากเดิมที่ช่วงครึ่งปีหลัง 2568 คาดว่าจะหดตัวจากการเร่งส่งออกในช่วงที่ผ่านมา (คาดว่าทั้งปี 68 ยังหดตัวอยู่) โดยผู้ประกอบการไทยและภาคส่งออกยังวางใจไม่ได้ เพราะต้องเจอทั้งต้นทุนที่สูงขึ้น และการเปิดตลาดซึ่งจะมีสินค้าจากสหรัฐฯ รวมถึงภูมิภาคอื่นเข้ามามากขึ้น


จับตาสหรัฐฯ "พร้อมจัดเต็ม" จีน อาจกระทบไทย

ดร.อมรเทพ จาวะลา เล่าต่อว่า สิ่งที่กังวลที่สุดคือแม้ภาษีตอบโต้ระหว่าง สหรัฐฯ และไทย รวมถึงสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ จะมีความชัดเจนขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังอยู่บนความเสี่ยงว่า สหรัฐฯ จะมีข้อสรุปทางการค้ากับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทยและอาเซียนอย่างไร

"เมื่อสหรัฐฯ ยุติสงครามกับประเทศอื่น ๆ วางเกมตัวนี้ได้ สิ่งที่สหรัฐฯ จะทำคือต้องเร่งเจรจากับจีน วันนี้ที่สหรัฐฯ พักรบกับจีนเพื่อไปดีลกับประเทศอื่นให้จบ เพราะเมื่อดีลกับประเทศอื่นจบก็จะเล่นสงครามการค้าเต็มรูปแบบกับจีน ต้องมาดูว่าเมื่อสงครามการค้าเต็มรูปแบบกับจีนจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นรูปแบบเดิมที่มีการเก็บภาษี ทุกวันนี้ 30% ขึ้นไปอีกกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่มันก็ทำได้ แต่แน่นอนว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบ แต่วันนี้ถือว่าไม่ได้รุนแรง ถือว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ คงจะชะลอหลังจากนี้"

ในส่วนของไทย เมื่อสหรัฐฯ ใช้เรื่อง Transshipment เพื่อป้องกันเรื่องการสวมสิทธิ์ด้านการส่งออก แต่โจทย์ของโลกปัจจุบันคือไม่มีอะไรที่ผลิตโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง การจะวัดมูลค่าสินค้า (ว่ามีการใช้องค์ประกอบจากไหนในสัดส่วนเท่าไร) ยังทำได้ยาก ดังนั้น จึงต้องติดตามในรายละเอียดว่า จะมีการบังคับใช้ในกลุ่มสินค้าไหน ในระดับใด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าจีนกับไทย และอาเซียนอาจชะงักลงได้ ดังนั้นเบื้องต้นทางออกของไทยยังคงเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว เช่น ต้องเร่งการลงทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาห่วงโซ่การผลิตในประเทศให้มากขึ้น



ที่มา The WHITE HOUSE, CIMBT, TISCO



ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

อ่านข่าวหุ้น ข่าวทองคำ และ ข่าวการลงทุน และ การเงิน กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/investment


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ