
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 68 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เชิญกระทรวงพาณิชย์ไปหารือรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นการเปิดตลาดสินค้าให้กับสหรัฐฯ และการป้องกันสินค้าจากประเทศอื่นสวมสิทธิ์สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดสหรัฐฯ นั้น กระทรวงพาณิชย์ได้หารือถึงการเยียวยาทุกภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบไว้แล้ว รวมถึงได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ไทยในประเทศต่างๆ เร่งหาตลาดส่งออกอื่นๆ รองรับด้วย “การส่งออกไทยในปีนี้ อาจได้รับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ บ้าง และหากไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็ยอมรับได้ เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากไทย เกิดจากประเทศคู่ค้า แต่รัฐบาลก็กำลังพยายามเร่งเจรจากับสหรัฐฯ อยู่ เพื่อให้ปรับลดอัตราภาษีลงมา”
ด้านนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจรจาภาษีทรัมป์จะเป็นการเจรจาเฉพาะประเด็นการค้าอย่างเดียว ไม่มีเรื่องของความมั่นคงมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เงื่อนไขที่สหรัฐฯ จะมาตั้งฐานทัพที่ไทยไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้เตรียมพร้อมของข้อมูลให้กับทีมไทย 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.ข้อมูลสินค้า และการเปิดตลาดต่างๆ 2.การกำหนดกลยุทธ์ในการเจรจา 3.มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
สำหรับเรื่องแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า ที่ไทยต้องเข้มงวดการใช้สัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) และสหรัฐฯ ให้ความสำคัญมากนั้น กระทรวงพาณิชย์จะเร่งจัดทำมาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มข้น เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลการใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบในประเทศที่ถูกต้อง ชัดเจน น่าเชื่อถือได้ เพื่อใช้ประกอบการเจรจากับสหรัฐฯ โดยขณะนี้ ได้ขอข้อมูลสัดส่วนการใช้ Local content จากภาคอุตสาหกรรมมาแล้ว และพบว่า มี 10-15 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง เพราะใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยกว่าจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้กำหนดการใช้ Local content สำหรับสินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.วัตถุดิบของไทย, วัตถุดิบที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ มาผลิตเป็นสินค้าส่งออก และวัตถุดิบจากประเทศพันธมิตร ที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย ภายใต้หลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content : RVC) 2.วัตถุดิบจากจีน 3.วัตถุดิบจากประเทศอื่น ที่ไม่อยู่ใน 2 กลุ่มแรก ซึ่งไทยต้องพิจารณาการใช้สัดส่วนวัตถุดิบอย่างละเอียด รอบคอบ เพราะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก
“อยากให้คนไทยอย่ากังวลกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ และมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะมีทิศทางที่จะเจรจาได้ และเป็นประโยชน์กับประเทศแน่นอน แม้ว่าหลายอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบ แต่รัฐบาลจะยึดหลักประโยชน์ของประเทศและหลักความสมดุลของการค้า ไม่เอียงไปประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะการค้ากับจีน ไทยจะไม่ผลักจีนออกจากการเป็นห่วงโซ่อุปทาน เพราะไทยกับจีนมีความสัมพันธ์การค้ามายาวนานเช่นเดียวกับสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ด้วย ซึ่งไทยก็ต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับจีน และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ให้เข้าใจ”
ส่วนกรณีที่ไทยยื่นข้อเสนอลดภาษีนำเข้าให้สหรัฐฯ เป็น 0% นั้น ไทยได้เสนอไป 90% ของรายการสินค้า หรือกว่า 10,000 พิกัดรายการ โดยเป็นสินค้าที่ขายกันทั่วโลก และเป็นสินค้าที่ไทยเปิดเสรีกับประเทศอื่นอยู่แล้ว ส่วนอีก 10% เป็นสินค้าอ่อนไหว ซึ่งรัฐบาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ