
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยในเสวนาโต๊ะกลม "กรุงเทพธุรกิจ Roundtable : The Art of The (Re) Deal" ว่า การเจรจาภาษีตอบโต้สหรัฐฯ แม้จะผ่านมาแล้ว 100 วัน และยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่รัฐบาลพยายามเจรจาอย่างต่อเนื่อง ส่วนจะจบภายในวันที่ 1 ส.ค. 68 หรือไม่ต้องติดตาม เพราะหลายประเทศที่เจรจาแล้ว ก็ยังไม่จบ แต่หลักการ คือ ไทยต้องเปิดตลาดให้กว้างขึ้น ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น ป้องกันการสวมสิทธิ์สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐฯ โดยไทยพร้อมยื่นข้อเสนอเพิ่มเติม เพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ เป็น 0% ในสัดส่วนจาก 63-64% เป็น 69% ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาไทย ซึ่งมีหลายสินค้าที่ไทยไม่เคยเปิดให้สหรัฐฯ มาก่อน เช่น ปลานิล ลำไย และรถยนต์พวงมาลัยซ้าย ซึ่งไม่น่ากระทบผู้ผลิตในประเทศ
เตรียมงบเยียวยา 2 แสนล้าน
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ไทยต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน รักษาสมดุล โดยยึดประโยชน์ร่วมกัน ถ้าตกลงไม่ได้จะเจอกำแพงภาษีแน่นอน อีกทั้งยังมีข้อเสนออื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี และไม่ใช่ข้อเสนอธรรมดาจากสหรัฐฯ อีก ไทยต้องถามตัวเองว่า มีศักยภาพแค่ไหน เพราะตอนนี้พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 18% ของการส่งออกไทยไปโลก ซึ่งไทยต้องเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี และต้องดูเงื่อนไขไม่ให้กระทบประเทศที่ 3 และประเทศคู่ค้าอื่น ไม่ชักศึกเข้าบ้าน
“รัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบแล้ว โดยให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ไว้ 200,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 0.01% ช่วยเหลือการลงทุน การจ้างงาน การบริหารสินค้าคงคลัง และมาตรการอื่นๆ โดยแหล่งเงินส่วนใหญ่จะมาจากธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเน้นช่วยภาคเกษตร รวมถึงธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ยังได้เตรียมมาตรการเพิ่มเติม กำลังรอการรวบรวมข้อมูล ที่ภาคเอกชนทยอยส่งมาให้”
อย่างไรก็ตาม กังวลการป้องกันการสวมสิทธิ์สินค้า ที่สหรัฐฯ เสนอให้เพิ่มสัดส่วนใช้วัตถุดิบในไทย (โลคอล คอนเทนต์) และจากสหรัฐฯ หรือชาติพันธมิตร ซึ่งไทยกำหนด 40% แต่สหรัฐฯ ยังไม่ชัดเจนจะกำหนดเท่าไร อาจ 60–80% ซึ่งไทยต้องปรับตัว ส่วนข้อเสนอใหม่ที่ไทยจะยื่นต่อสหรัฐฯ จะมีเรื่องความมั่นคงหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการหารือ
เลิกอุ้มอุตสาหกรรมแข่งขันไม่ได้
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน บีโอไอ กล่าวว่า ไทยยังมีข้อได้เปรียบด้านการลงทุน เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค 5 ด้านคือ โครงสร้างพื้นฐาน, ซัปพลายเชนที่แข็งแกร่ง เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า, บุคลากร, สิทธิประโยชน์และมาตรการจากรัฐ และการเข้าสู่ตลาด เพราะไทยมีประชากรเกือบ 70 ล้านคน และยังมีตลาดคู่เอฟทีเออีกหลายประเทศ ถ้าภาษีตอบโต้ใกล้เคียงกับคู่แข่ง บวกกับจุดแข็งเหล่านี้ เรายังดึงดูดการลงทุนได้ แต่ไทยควรเยียวยาบางอุตสาหกรรม และผูกซัปพลายเชนกับสหรัฐฯ ให้มากขึ้น, ส่งเสริมลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น และส่งเสริมสิทธิประโยชน์การลงทุน
“วันที่ 1 ส.ค.นี้ อาจไม่ใช่วันพิพากษา เป็นเกมยาว การเจรจาต่อรอง ปรับภาษี เกิดได้ตลอด โจทย์คือ ทำอย่างไรจะรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับขั้วต่างๆ ทั้งสหรัฐฯ จีน อินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง ภาครัฐต้องมีมาตรการที่ยืดหยุ่น ปรับตัวตามสถานการณ์ ส่วนเอกชนจะค้นหาจุดที่แข่งขันได้อย่างไร ถ้าดูแล้วสาขาใดที่รัฐช่วยแล้ว แข่งขันไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจใหม่”
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า มองว่าภาษี 25% คือระดับที่เหมาะสม เพราะโอกาสที่ไทยจะถูกเก็บที่ 20% มีน้อยมาก และ 25% น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพื่อต่อรองให้ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถยอมให้ได้จริงๆ และเพื่อให้ไทยได้มีจุดยืนที่เหมาะสม และแข่งขันได้แม้อาจต้องมีการแลกเปลี่ยนในหลายเรื่อง โดยการตัดสินใจเลือกเป้าหมายอัตราภาษี ต้องแลกกับผลต่อการส่งออก อุตสาหกรรม เกษตร เพื่อให้มีทางออกที่ดี เช่น เก็บเงินจากการส่งออกมาชดเชยให้ภาคเกษตร 50,000-100,000 ล้านบาท
"ต้องชั่งน้ำหนักภาษีกับผลกระทบระยะสั้นและยาว หากยอมให้เก็บภาษีสูงจะยอมรับได้ไหม รวมถึงมีแนวทางลดผลกระทบอย่างไร หรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดที่เหมาะสมจะเยียวยา"
หวังสหรัฐฯ ให้ความเป็นธรรมไทย
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า อยากให้ทีมไทยแลนด์แสดงความตั้งใจให้สหรัฐฯ เห็นว่า ไทยไม่ได้ปฏิบัติกับประเทศอื่นเหนือสหรัฐฯ และไทยให้การปฏิบัติที่เท่าเทียมกันทุกประเทศ เพื่อให้สหรัฐฯ หันมาเจรจากับไทย ซึ่งผู้ส่งออกหวังให้เจรจาลดภาษีได้สำเร็จ อย่างน้อยต่ำกว่าเวียดนาม 2% ก็มีความหมายมาก และอยากให้รัฐหามาตรการเยียวยา โดยชะลอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ พิจารณาดอกเบี้ยให้เหมาะสม แก้ปัญหาการทำนิติกรรมอำพรางทางธุรกิจของต่างชาติ เพราะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ
“ต้องการการเจรจาเป็นธรรมกับไทย เพราะไทยทำความเสียหายให้การค้าสหรัฐฯ น้อยกว่าเวียดนาม แล้วทำไมเวียดนามถูกเก็บที่ 20% และ 40% อยากให้ทีมเจรจาแสดงความตั้งใจจะเป็นหุ้นส่วนของสหรัฐฯ และทำการค้าอย่างเป็นธรรมกับเขาอย่างชัดเจน เพื่อให้เขาปฏิบัติกับไทยอย่างเป็นธรรมด้วยเช่นกัน”
ด้านนายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม โดยพร้อมลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ เป็น 0% เท่าที่จำเป็นและเรียงลำดับสำคัญ ไม่ใช่เปิดหมดหน้าตักเหมือนเวียดนาม อย่างไรก็ตาม กังวลสินค้าจากประเทศอื่นจะทะลักเข้าไทย จึงขอให้หน่วยงานภาครัฐเร่งสร้างรั้วสูง กำแพงหนา ประตูเหล็ก เพื่อปกป้องตัวเอง โดยกล้าใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (ซีวีดี) มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) กล้าใช้กฎหมายป้องกันการสวมสิทธิ์ และมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เช่น ช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ