
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลากหลายทิศทาง ทั้งปัจจัยภายในอย่างความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ไปจนถึงนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก
หลายภาคส่วนในไทยได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ที่ยังคงอยู่ในอัตรา 36% หรือเท่ากับตัวเลขเดิมที่เคยประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งไทยนับเป็นอันดับ 3 ของอาเซียนที่ถูกเรียกเก็บภาษีมากที่สุดรองจากลาวและเมียนมา
ในวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการประกาศอัตราภาษีใหม่หลังจากที่ได้มีการพูดคุยกับเหล่าผู้นำหรือตัวแทนของแต่ละประเทศ ซึ่งมีทั้งการปรับลด ขึ้น และคงไว้ซึ่งตัวเลขเดิม เช่น ลาว มีการปรับลดลงจาก 48% เหลือ 40% และ ญี่ปุ่น ถูกเพิ่มภาษีจาก 24% เป็น 31% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568
แม้ล่าสุด ประเทศจีนจะถูกลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เฉลี่ยรวมเหลือราว 55% เป็นเวลา 90 วัน แต่สหรัฐฯ และจีนยังคงแข่งขันทางการค้ากันอย่างดุเดือด ส่งผลให้จีนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ และมุ่งส่งเข้าอาเซียนมากขึ้น
จากข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ (The US Census Bureau) พบว่า มูลค่าส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 43% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในเดือนพฤษภาคม (YoY) หรือสินค้ามูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ในขณะเดียวกัน จากการรายงานของจีน ยอดส่งออกโดยรวมของจีนเพิ่มขึ้น 4.8% เนื่องจากการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ถูกชดเชยด้วยการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนที่เพิ่มขึ้น 15% และ การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปที่เพิ่มขึ้น 12%
โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ Bloomberg พบว่าการส่งออกของจีนที่เข้ามาสู่เอเชียนั้นเติบโตมากกว่า 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.66 ล้านล้านบาท (51.3 billion dollars) ประกอบด้วย
และข้อมูลจาก Capital Economics ระบุว่า แม้อัตราการส่งออกของจีนเข้าสู่เอเชียจะมีมากอยู่แล้ว แต่พบว่ามันเพิ่มมากขึ้นจากเดิมไปอีก หลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่ 2 และนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐ สร้างแรงกดดันให้การแข่งขันในประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียมีความดุเดือดมากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ต้องฝ่าอุปสรรคภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเท่านั้น แต่ภาคธุรกิจยังต้องแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อไม่ให้ถูกสินค้าจีนกลืนกินจนหมด
ผลสำรวจจาก ธนาคาร UOB ในรายงาน Business Outlook Study ปี 2568 ระบุว่า กลุ่มธุรกิจไทยที่มีความเสี่ยงสูงจากนโยบายภาษีทรัมป์ ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และ อุตสาหกรรมเครื่องจักร เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนมากกว่า 60%
หากสหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีนำเข้าไว้ในระดับสูงถึง 36% ต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และซ้ำเติมภาคการส่งออกให้เผชิญกับแรงกดดันมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีความหวังคือภาคธุรกิจกลุ่ม Healthcare ที่คาดว่าจะเติบโตและได้ดี
ทั้งนี้ เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถไปต่อได้แม้จะมีอุปสรรคจากทั้งนโยบายภาษี และการรุกหนักจากสินค้าจีนเข้าตลาดเอเชีย ภาคธุรกิจไทยควรจะต้องวางแผนให้รอบคอบและปรับกลยุทธ์ด้วยการตั้งราคาใหม่ เพื่อให้แข่งขันกับกลยุทธ์สินค้าราคาถูกของจีนได้ แต่ทั้งนี้ต้องระวังเรื่องต้นทุนด้วยเช่นกัน เพราะถ้าทำให้ราคาต่ำมากเกินไปอาจขาดทุนและส่งผลเสียต่อธุรกิจในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูต่อไปว่าการเจรจาภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ จะสามารถตกลงกันได้และนำไปสู่การปรับลดอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งอาจช่วยบรรเทาแรงกดดันที่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ให้น้อยลงได้บ้าง เพราะหากต้นทุนการส่งออกลดลง ย่อมช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก และอาจเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เปราะบางแบบนี้ให้มีความหวังมากกว่าที่เป็นอยู่
ที่มา : Bloomberg [1] [2], Financial Times, Capital Economics