
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อความยั่งยืน ไม่ได้ดำเนินการเพียง 1-2 ปีเท่านั้น ดังนั้นคณะอนุกรรมการฯ ต้องไปพิจารณาแนวทางและวิธีการดำเนินการให้เกิดความยั่งยืน ตามที่ได้รับมอบหมาย
“คณะอนุกรรมการชุดนี้ รับโจทย์มาว่าจะต้องศึกษาว่าจะทำอย่างไร ให้โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอยู่ระยะยาวและมีความยั่งยืน เราก็จะไปพิจารณาว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง” ส่วนกรณีข้อกังวลว่าเป็นการใช้งบประมาณแต่ประชาชนต่างจังหวัดไม่ได้รับผลประโยชน์นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน การเดินหน้านโยบายครั้งนี้มองว่าการลงทุนมากกว่า โดยรูปแบบที่ใช้จะเป็นการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อระดมทุนมาดำเนินการทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับคณะอนุกรรมการนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มีหน้าที่ในการศึกษานโยบายให้อยู่ได้ระยะยาวและยั่งยืนแล้ว คณะกรรมการชุดดังกล่าวยังต้องพิจารณาแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากภาคเอกชนด้วย โดยจากการหารือกันเบื้องต้น อาจจะมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า และให้ภาครัฐกลับเข้ามาบริหารการเดินรถเองตลอด 13 เส้นทาง
ทั้งนี้รัฐบาลมีเป้าหมายจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ค่าโดยสาร 20 บาท ภายในช่วงเดือน ส.ค. 2568 ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ และภายใน 1 ต.ค. 2568 จะเริ่มดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสายตามนโยบายรัฐบาล และภายหลังจากนั้นจะมีกระบวนการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้โครงสร้างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงื่อนไขการลงทะเบียนนั้น เพื่อยืนยันตัวบุคคลที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น โดยระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก และสามารถใช้ผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรโดยสาร (Rabbit Card ที่เคยลงทะเบียนไว้) ที่จะใช้งานกับระบบรถไฟฟ้าผ่านแอป “ทางรัฐ” โดยบัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนจะได้สิทธิ์โดยอัตโนมัติ การใช้งานจะครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 13 เส้นทาง ระยะทางรวม 279.84 กิโลเมตร 194 สถานี ประกอบไปด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว, สีทอง, สีเหลือง, สีชมพู, สีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีแดง และสายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL)