ส่งออกไทยจ่อวิกฤติ ภาษีทรัมป์กระแทก UOB คาดจีดีพีอาจติดลบ หากภาษีไม่ลด

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ส่งออกไทยจ่อวิกฤติ ภาษีทรัมป์กระแทก UOB คาดจีดีพีอาจติดลบ หากภาษีไม่ลด

Date Time: 8 ก.ค. 2568 19:17 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

เศรษฐกิจไทยยังไม่ทันฟื้น ก็ถูกภาษีนำเข้าทรัมป์ซัดซ้ำถึง 36% กระทบหนักต่อภาคส่งออกและธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเครื่องจักร-เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังน่าห่วงเพราะพึ่งพาการส่งออกมาก

Latest


เศรษฐกิจไทยในตอนนี้เหมือนเปรียบเสมือนคนป่วยที่ยังไม่ทันได้พักฟื้นให้หายดี ก็ถูกนโยบายภาษีของทรัมป์กระแทกหน้าอย่างจังจนเข้าขั้นโคม่า เพราะนอกจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ซบเซา แรงกดดันจากนอกประเทศก็ยังถาโถมเข้ามาไม่พัก

โดยในวันนี้ สหรัฐอเมริกาได้ร่อนจดหมายถึงประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้า และหนึ่งในนั้นคือ "ประเทศไทย" ที่ถูกเรียกเก็บด้วยอัตรา 36% หรือเท่ากับตัวเลขเดิมที่ทรัมป์เคยประกาศเอาไว้ในเดือนเมษายน และจะมีผล 1 ส.ค.นี้ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ได้รับการปรับลดเหลือ 20% จาก 46%

ซึ่งทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วง เนื่องจากเรายังพึ่งพาการส่งออกเพราะเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ที่อาจได้รับผลกระทบหนักจากต้นทุนที่สูงขึ้น และแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ทำให้การค้าขายระหว่างประเทศยิ่งยากกว่าเดิม

ภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจไทยหนัก

ธนาคาร UOB เผยผลสำรวจ Business Outlook Study ปี 2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน อาทิ อัตราเงินเฟ้อ-เงินฝืด, ค่าครองชีพที่เติบโตเร็วกว่ารายได้ และ 60% ของภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นหลังภาษีทรัมป์

สถิตย์ แถลงสัตยา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจสัมพันธ์ ของธนาคาร UOB กล่าวว่า ไทยมีการพึ่งพาตลาดการส่งออกไปยังสหรัฐฯในระดับสูง ซึ่งนโยบายภาษีส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความอ่อนไหว และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อในระยะปานกลาง

โดยความตึงเครียดของการค้าระหว่างประเทศและมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐนั้นส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย คือ..

  • GDP โตต่ำ
  • การส่งออกหยุดชะงัก
  • การท่องเที่ยวหดตัว
  • คนไทยรายได้น้อยลง แต่มีหนี้มากขึ้น

นอกจากนี้ภาคธุรกิจยังประสบปัญหาอีกอย่างคือ สินค้าจีนหลั่งไหลเข้าไทยแทนอาเซียนมากขึ้นหลังมีนโยบายภาษีทรัมป์ ทำให้การแข่งขันในประเทศจึงรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ใช่แค่ต้องแข่งกันเอง แต่ยังต้องรับมือกับผู้เล่นจากจีนที่สามารถกดต้นทุนและตั้งราคาขายได้ต่ำกว่า

ขณะที่ธุรกิจไทยส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุน ทำให้การปรับลดราคาต่อสู้ในตลาดเป็นเรื่องยากกว่าและเสียเปรียบ

และไม่ใช่แค่ภาคธุรกิจเท่านั้นที่น่าห่วง แต่ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและภาษีทรัมป์ยังสร้างความผันผวนและความไม่มั่นคงต่อเศรษฐกิจ ส่งผลให้คนไทยกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้น ทว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำและไม่น่ากังวลมาก แต่สิ่งที่ต้องจับตาดูคืออัตราของ “เงินฝืด” ที่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยอยู่ที่ 0.6% ในปีนี้ และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 0.8% ในปีหน้า จากผลของรายงาน

สถิตย์ยังกล่าวอีกว่า ทางธนาคาร UOB ได้มีการประเมิน GDP ไทย ปี 68 ไว้ที่ 2% เหมือนตัวเลขจากการรายงานของ IMF ในกรณีที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐแค่ 10 - 15% แต่เมื่อมีการปรับใหม่ ก็ต้องประเมินใหม่ โดยคาดว่านับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้ถึงไตรมาสแรกของปีหน้า การเติบโตของไทยในแต่ละไตรมาสอาจติดลบ (QoQ) หากอัตราภาษียังเกิน 20%

ธุรกิจใดบ้างที่อาจเข้าขั้นวิกฤติ?

สถิตย์ให้ความเห็นว่า กลุ่มธุรกิจที่น่าเป็นห่วงมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า และ เครื่องจักร (Machinery) เป็นสองภาคส่วนหลักที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองภาคส่วนนี้มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันประมาณ 60% ของการส่งออกทั้งหมด

การที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% นั้นส่งผลทำให้เกิดความท้าทายอย่างมากต่อทั้งสองภาคธุรกิจ เพราะการส่งออกไปสหรัฐในปัจจุบันถือเป็นอุปสรรคมากกว่าโอกาส เราอาจจะได้เห็นสัญญาณการปิดโรงงานเพิ่มมากขึ้นในอนาคตหากอัตราภาษีนำเข้ายังคงสูง

และยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนและราคา ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง โดยประเทศไทยมีคู่แข่งหลักคือจีนและเวียดนาม แม้ว่าจีนจะถูกเรียกเก็บภาษีสูงกว่าไทย แต่ด้วยขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า ทำให้พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการแข่งขันที่สูง เพราะจีนสามารถลดราคาลงได้อีก แต่ไทยยังน่าห่วง

โดยสถิตย์ให้คำแนะนำว่าธุรกิจไทยควรปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดด้วย 3 กลยุทธ์ คือ

  • ตั้งราคาใหม่
  • บริการจัดการต้นทุนให้ดี
  • เลือกพันธมิตรธุรกิจและประสานพลัง เพื่อประคองให้ธุรกิจไปต่อได้

ทั้งยังกล่าวอีกว่าแม้หลายธุรกิจจะซบเซาและน่าห่วง แต่ยังมีธุรกิจที่เป็นโอกาสใหม่ คือ กลุ่มธุรกิจสุขภาพและเวลเนส

อย่างไรก็ตาม สถิตย์กล่าวว่าเขายังคาดหวังว่าทีมไทยจะสามารถเจรจาต่อรองภาษีกับสหรัฐได้ และอยากให้อยู่ในระดับเดียวกับเวียดนามคือ 20% หรือไม่เกิน 25% เพราะหากมากกว่านั้นอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและธุรกิจของไทยที่มีการพึ่งพาสหรัฐสูง

แม้ทุกอย่างจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ไทยยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว หากการเจรจากับสหรัฐฯ ในรอบถัดไปสามารถหาข้อตกลงที่เป็นธรรมได้ ก็อาจช่วยลดแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาในเวลานี้

คนไทยจำนวนไม่น้อยจึงยังคงจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะนี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองระดับโลก แต่มันส่งผลต่อการเงินและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ