
แม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 28 ปี แต่คนไทยก็ยังไม่ลืมวิกฤติเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่าง "วิกฤติต้มยำกุ้ง" เหตุการณ์ทางการเงินที่ทิ้งรอยแผลเป็นและบทเรียนให้กับประเทศไทยมาจนถึงวันนี้
2 กรกฎาคม 2540 คือวันที่ประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และหันไปขอความช่วยเหลือจาก IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ไม่เพียงเขย่ารากฐานเศรษฐกิจไทย แต่ยังลามไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "Asian Financial Crisis"
ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าจะเกิดวิกฤติการเงินอย่างต้มยำกุ้งขึ้น เพราะในตอนนั้นเศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นยุคทอง
ในตอนนั้น เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้แต่เอกชนในไทยเองก็ไปกู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุนเพิ่ม จนราคาที่ดิน บ้าน คอนโด พุ่งขึ้นแบบผิดปกติจนกลายเป็น "ฟองสบู่"
ปัญหาใหญ่ในอดีต คือ ประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบกึ่งตรึงค่าเงินบาทไว้กับดอลลาร์ แม้จะดูเหมือนช่วยให้ตลาดเงินมีเสถียรภาพ แต่ในความเป็นจริงกลับทำให้ทั้งคนที่กู้เงิน และคนที่ปล่อยให้กู้ มองข้ามความเสี่ยงจากค่าเงินที่อาจเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ระบบธนาคารยังเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่เรียกว่า "กู้สั้น-ลงทุนยาว" คือไปยืมเงินต่างประเทศแบบระยะสั้นที่ต้องใช้คืนโดยเร็ว แต่นำเงินไปปล่อยกู้ให้โครงการในประเทศแบบระยะยาว ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะได้คืน และถ้าเงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างฉับพลัน จะไม่มีเงินพอใช้หนี้ทันที เกิดเป็นความเสี่ยงหนักต่อระบบการเงินของประเทศ
ในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวจากการลงทุนของทั้งคนในประเทศและต่างชาติ ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งกลับประเมินความเสี่ยงได้ไม่แม่นพอ รวมถึงปล่อยสินเชื่อไม่รอบคอบเท่าที่ควร
การผูกค่าเงินบาทไว้กับดอลลาร์ ส่งผลให้เมื่อมีข่าวลือว่าจะมีการลดค่าเงินบาท นักลงทุนต่างขายเงินบาทหนีไปถือเงินดอลลาร์มากขึ้น และทำให้การลงทุนหยุดชะงัก เพราะนักลงทุนต่างชาติทยอยถอนตัวออกไปเรื่อย ๆ จนค่าเงินบาทอ่อน เศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง ค่อย ๆ เสียสมดุลและพังลง ก่อนจะกลายเป็นวิกฤติต้มยำกุ้งในที่สุด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า บริบทเศรษฐกิจปี 2568 ได้ปรับเปลี่ยนไปมากจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ทั้งในมิติของทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 3 เท่า
ขณะที่ ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง เงินสำรองอยู่ในระดับสูง และมีกลไกเร่งจัดการปัญหาหนี้เสีย เพราะได้บทเรียนจากช่วงวิกฤติทางการเงินเมื่อ 28 ปีก่อน
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะชะลอตัวจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น หนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง, การปล่อยสินเชื่อน้อยลง เพราะหนี้เสีย (NPL) ยังน่าห่วง, สงครามการค้าระหว่างประเทศ, ชาวต่างชาติลงทุนในไทยน้อยลง รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวที่หดตัวลง 2.8% เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย กระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เนื่องจากพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก
แต่สถานการณ์ปัจจุบันต่างจากช่วงวิกฤติ 2540 เพราะจากรายงานที่เทียบตัวเลขของทั้งสองยุค พบว่า
ปี 2540-2542 (วิกฤติต้มยำกุ้ง)
ในขณะที่ปัจจุบัน ปี 2568 (ตัวเลขจากไตรมาส 1/68)
สะท้อนให้เห็นว่าแม้การเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้จะชะลอตัว แต่นับว่ามีการปรับตัวที่ดีขึ้นจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เป็นบทเรียนใหญ่ด้านการเงินของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุอีกว่า โจทย์เศรษฐกิจในปี 2568 มี 3 เรื่องที่ต้องจับตามองต่อไป คือ
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, ศูนย์วิจัยกสิกร [1] [2]
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney