วิกฤติรัฐบาล "แพทองธาร ชินวัตร"

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

วิกฤติรัฐบาล "แพทองธาร ชินวัตร"

Date Time: 30 มิ.ย. 2568 10:30 น.

Summary

รัฐนาวา “แพทองธาร ชินวัตร” เดินหน้าเข้าสู่จุดศูนย์กลางทะเลเดือด ที่ยังไม่รู้ว่าหัวหน้ารัฐบาลจะประคองสถานการณ์ไปได้อีกนานขนาดไหน ระเบิดเวลาลูกแล้วลูกเล่าถูกโยนเข้าใส่ตลอดระยะเวลา 11 เดือนที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ นอกเหนือภาระหนักอึ้งด้านเศรษฐกิจ ที่ปั่นอย่างไรก็ไม่ขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

รัฐนาวา “แพทองธาร ชินวัตร” เดินหน้าเข้าสู่จุดศูนย์กลางทะเลเดือด ที่ยังไม่รู้ว่าหัวหน้ารัฐบาลจะประคองสถานการณ์ไปได้อีกนานขนาดไหน

ระเบิดเวลาลูกแล้วลูกเล่าถูกโยนเข้าใส่ตลอดระยะเวลา 11 เดือนที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ นอกเหนือภาระหนักอึ้งด้านเศรษฐกิจ ที่ปั่นอย่างไรก็ไม่ขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก

ลำพัง...ความปั่นป่วนอันเกิดจากนโยบายสุดโต่งของผู้นำชาติมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา สงครามอิหร่าน-อิสราเอล ประกอบเข้ากับภาวะเศรษฐกิจซบเซาในประเทศ ก็แทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว

แต่นายกรัฐมนตรียังเพลี่ยงพล้ำ จากการถูกแฉคลิปเสียงบทสนทนาแบบ “ลุง-หลาน” กับฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ทำให้ถูกตั้งคำถามจากสังคม องค์กรอิสระ นักการเมืองฝ่ายค้าน นักวิชาการ นักร้องฟากฝั่งตรงกันข้าม เข้าคิวจองกฐิน

แต่ละวัน แต่ละนาทีจากนี้ จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า “รัฐนาวาแพทองธาร” จะล่มลงก่อนเวลาอันควรหรือไม่...

คลิปเสียงอังเคิล “ฮุน เซน” ชนวนปะทุ

คลิปเสียงสนทนาเพียงคลิปเดียว ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับฮุน เซน ประธานรัฐสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ถูกฮุน เซนออกมาแฉเมื่อ 18 มิ.ย.2568 กลายเป็นชนวนระเบิดที่สั่นคลอนรัฐบาล เกิดผลกระทบในหลายมิติ รุนแรงและรวดเร็ว ทั้งด้านความเชื่อมั่นในประเทศ ความสัมพันธ์ต่างประเทศ ความมั่นคง และเศรษฐกิจ

ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีลดลง ประชาชนจำนวนมากตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม” และการเรียกฮุน เซนว่า “อังเคิล” หรือคุณลุง

ชนวนแตกหักระหว่างคนตระกูลฮุนและตระกูลชินวัตร กลายเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศเพราะทั้ง 2 ฝ่ายเป็นผู้นำ ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาเพิ่มขึ้นทันที จากที่เคยอยู่ในระดับ “ประคับประคอง” อาจพัฒนาเป็นการเผชิญหน้าในทางยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีชายแดน

ตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์เผยว่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 โตได้ถึง 11.20% มูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท แต่คาดว่าตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป มีแนวโน้มลดลงเพราะมีการปิดด่านชายแดนระหว่างกัน ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.2568 โดยงดการผ่านเข้า-ออกของประชาชน การค้าขายทุกประเภท รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดชายแดนพบว่า บรรยากาศการค้าขายซบเซา ผู้ประกอบการ ร้านค้าต่างๆ ของทั้ง 2 ฝั่งปิดร้านจำนวนมาก หากปิดด่านจนถึงสิ้นปี 2568 อาจทำให้มูลค่าการส่งออกผ่านชายแดนของไทยในช่วง 6 เดือนหลังหายไปกว่า 60,000 ล้านบาท

ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 1 พายุลูกใหญ่

ความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่น่าหวั่นใจ คือความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง ภายใต้นโยบายกีดกันทางการค้ารอบใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอย่างครอบคลุม (Universal & Reciprocal Tariffs) โดยมาตรการนี้ไม่ได้กระทบแค่จีน แต่รวมถึงประเทศคู่ค้าอื่นอย่างไทยด้วย

มาตรการผ่อนปรนภาษีที่มีอยู่จะหมดอายุในเดือนก.ค.2568 ส่งผลให้ภาคส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอาหารแปรรูป ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯเป็นหลัก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ SCB EIC ประเมินว่า หากไทยเจรจาไม่สำเร็จและความขัดแย้งยืดเยื้อ จีดีพีไทยปี 2568 อาจเติบโตเพียง 0.8% เท่านั้น ต่ำกว่ากรณีฐานที่คาดไว้ราว 1.5-1.6% ขณะที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ “มูดี้ส์” ปรับแนวโน้มเครดิตของไทยลงเป็น “เชิงลบ” อ้างถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจากภายนอกและฐานะการคลังที่เปราะบาง

ขณะเดียวกันการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาภาษีนำเข้า 36% ที่สหรัฐฯเตรียมใช้กับสินค้าจากไทย ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงใน 5 กรอบหลักของการเจรจา โดยล่าสุดทางคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ประเมินว่าไทยอาจจะถูกเรียกเก็บในอัตรา 18%

ในอีกมุมหนึ่งความขัดแย้งทางการค้าทำให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตใหม่ของนักลงทุนจีนบางส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอิเล็กทรอนิกส์ โดยข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่า การขอส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยจีนเป็นนักลงทุนหลัก

กรณีดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตไทย ต้องแข่งขันกับสินค้าราคาต่ำจากจีนที่ไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น หากจีนใช้ไทยเป็นแหล่งแปลงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) เพื่อหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

ด้านภาพรวมการส่งออก แม้ไตรมาสแรกจะขยายตัวสูง แต่เป็นผลจากการเร่งส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ล่วงหน้า ก่อนภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ หลังออเดอร์ล่วงหน้าหมดลง การส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่บรรยากาศการลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา โดยตัวเลขการลงทุนหดต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4

ปิดช่องแคบฮอร์มุซกระแทกซ้ำ

วิบากกรรมของรัฐบาลอีกปมหนึ่งก็คือ ราคาพลังงานโลกที่อาจผันผวนตามวัฏจักรในรอบปลายๆปีของทุกปีที่ราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จะปรับตัวขึ้น เพราะเข้าสู่ฤดูหนาว

แต่การปิดช่องแคบฮอร์มุซล่าสุดจากการรบพุ่งกันของอิหร่านและอิสราเอล กระทบเส้นทางขนส่งน้ำมันหลัก ของทวีปเอเชียอย่างจัง ยังดีที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ทำให้ราคาน้ำมันโลกอ่อนตัวลงในระดับหนึ่ง แต่หากสถานการณ์ปะทุขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญ ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานและอิหร่าน โดยเชื่อมต่ออ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมานและทะเลอาหรับในมหาสมุทรอินเดีย ถือเป็น “จุดคอขวดสำคัญที่สุด ในการขนส่งน้ำมันของโลก” โดยเมื่อปี 2566 มีปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านช่องแคบนี้ 20.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบเท่ากับ 20% ของการใช้น้ำมันของโลก และคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก

หากการปิดช่องแคบฮอร์มุซปะทุขึ้นมาอีก เพราะประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันดิบ 90% โดยสัดส่วน 59% ของการนำเข้าเป็นการนำเข้าจากตะวันออกกลาง กระทรวงพลังงานต้องจัดเตรียมปริมาณน้ำมันสำรองในประเทศ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือ ราคาขายปลีก ผ่านกลไกกองทุนน้ำมันกันขนานใหญ่ โดย ณ วันที่ 23 มิ.ย.2568 ไทยมีน้ำมันดิบคงเหลือที่ใช้ได้นาน 63 วัน ขณะที่สถานะกองทุนน้ำมันกลไกสำคัญในการดูแลราคาขายปลีกภายในประเทศ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2568 ติดลบ 35,408 ล้านบาท

หากสถานการณ์ไม่บานปลาย คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะลดลงจากระดับ 76-77 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ในขณะนี้เหลือ 70-71 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลปลายปี 2568

ดัชนีตัวเลขเศรษฐกิจเฮละโลถดถอย

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทยลงเหลือ 1.3-2.3% (ค่ากลาง 1.8%) เป็นการเติบโตต่ำสุดในประเทศอาเซียน

เช่นเดียวกับดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ซึ่งจัดโดยสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิต เซอร์แลนด์ ซึ่งได้เปิดเผยรายงาน World Competitiveness Ranking 2025 ผลปรากฏว่า ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 30 จากอันดับที่ 25 ในปีก่อนหน้า และยังเป็นกลุ่มรั้ง 5 อันดับท้ายในภูมิภาค โดยอยู่ในอันดับที่ 11 จากทั้งหมด 14 ประเทศ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค.68 อยู่ที่ระดับ 54.2 ต่ำสุดในรอบ 27 เดือน, ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ถูกปรับประมาณการใหม่ ขยายตัว 0-1% จากเดิม 1.5-2.5% ขณะที่จีดีพีภาคอุตสาหกรรมปรับเหลือ 0.5-1.5% จากเดิม 1.5-2.5% สาเหตุหลักจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

ส่วนดัชนีหุ้นไทยจากวันรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “แพทองธาร” เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2567 ดัชนีหุ้นไทยฟื้นคืนชีพแตะระดับ 1,300 จุด แต่ ณ ปิดตลาดเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2568 อยู่ที่ 1,082.42 จุด นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่า หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ดัชนีหุ้นไทยอาจร่วงไปแตะ 900 จุดได้ในเร็วๆนี้

ด้านตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 คงไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิม 37.46 ล้านคน และรายได้รวม 3.4 ล้านล้านบาท จากการหายไปของนักท่องเที่ยวจีนและเอเชีย ล่าสุดประเมินว่านักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ประมาณ 35-35.5 ล้านคน รายได้อาจอยู่ที่ราว 3 ล้านล้านบาทใกล้เคียงปีก่อน

การเมืองเปราะบางความเชื่อมั่นหาย

นอกจากถูกนินทาทั่วบ้านทั่วเมือง กรณีผู้ป่วยชั้น 14 รพ.ตำรวจ ผู้เป็นบิดาของนายกรัฐมนตรีแล้ว ก่อนที่จะเกิดประเด็นคลิปเสียงฮุน เซน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการโยกงบประมาณจากธนาคารของรัฐ จำนวน 35,000 ล้านบาท ไปใส่ในงบกลาง เพื่ออาจนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้นยังมีคดียื่นตรวจสอบการจัดสรรงบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งพบว่ามีรายชื่อ สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งมีพฤติกรรมแทรกแซงการใช้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของตนและพรรค

แต่พลันที่คลิปเสียงฮุน เซนถูกเปิดเผย แรงกดดันทางการเมืองจากทุกสารทิศก็ประดังประเดเข้ามา เพิ่มจำนวนคดีสำคัญที่อยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบจากสามองค์กรหลัก ได้แก่ ป.ป.ช., ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มตั้งแต่ประธานวุฒิสภาทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2568 ขอให้วินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร หลังยอมรับกรณีคลิปเสียง มีพฤติกรรมกระทบอธิปไตย โดยศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับคำร้องหรือไม่วันที่ 1 ก.ค.2568

เคสเดียวกันยังเป็นเหตุให้ ป.ป.ช.ตั้งเรื่องสอบกรณีคลิปเสียง เพื่อหาข้อเท็จจริง สรุปส่งที่ประชุมกรรมการภายใน 10 วัน (เริ่มสอบ 25 มิ.ย.2568) รวมทั้งยังมีกรณียื่นร้อง กกต. ยุบพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล จากการกระทำในคลิปเสียงด้วย

นอกจากนั้น การผันตัวไปเป็นฝ่ายค้านของพรรคภูมิใจไทย ยังทำให้รัฐบาลแพทองธารกลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ 256 เสียง ขณะที่พรรคฝ่ายค้านมีอยู่ราว 239 เสียง จาก 495 เสียง นับว่าสถานการณ์ร่อแร่ มิหนำซ้ำภูมิใจไทยยังประกาศเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 3 ก.ค.2568 ขณะที่รัฐบาลมีภารกิจต้องดัน พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ให้สำเร็จ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเดินหน้าไปให้ได้ แม้จะยอมปลดชนวนระเบิดลูกใหญ่ ด้วยการขยับวาระพิจารณา พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ออกไปก่อน.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ