ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตื่นสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ออกมาตรการชั่วคราว ลดซิลลิ่ง-ฟลอร์หุ้นไทยเหลือ 15% เริ่ม 23 มิ.ย. 68 “พิชัย” ย้ำตลาดทุนไทยยังแกร่ง ส่วน “พีระพันธุ์” ประชุมด่วนสร้างความมั่นคงพลังงาน หลังอิหร่านเตรียมปิดช่องแคบฮอร์มุซ ขณะที่ กบน. ตรึงราคาขายปลีกดีเซล 31.94 บาท มีผลวันนี้ (24 มิ.ย.)
ผู้สื่อข่าวรายงาน ภาวะตลาดหุ้นไทยวันที่ 23 มิ.ย. 68 ซึ่งเป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศใช้ "มาตรการชั่วคราว เพื่อรองรับความผันผวน" โดยปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor ลงมาที่ 15% จากเดิม 30% และปรับ Dynamic Price Band ให้แคบลงนั้น ในช่วงเช้าดัชนีหุ้นไทยดิ่ง 13 จุด ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากสงครามตะวันออกกลางและเสถียรภาพการเมืองในประเทศ รวมทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ก่อนมาปิดตลาดสิ้นวันที่ระดับ 1062.78 ลบ 4.85 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 32,506.99 ล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวในช่วงเช้าวานนี้ (23 มิ.ย.) ว่า การสู้รบในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น อาจสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงไทย ทำให้รัฐบาลติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งตลาดการเงินและการลงทุน ยืนยันว่า มาตรการชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ใช่เป็นการปิดตลาดหรือสกัดกั้นการลงทุน แต่เป็นการดูแลเสถียรภาพตลาดในช่วงที่มีเหตุการณ์ภายนอกที่ไม่แน่นอน “เราเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจไทย และจะดำเนินการทุกวิถีทางในการรักษาความมั่นคงของตลาดทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน”
ด้านนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า การออกมาตรการชั่วคราว เพราะต้องการให้นักลงทุนมีเวลาวิเคราะห์ข้อมูลจากทั่วโลก ซึ่งเปลี่ยนแปลงทุกชั่วโมง รวมถึงเป็นการปรับเบรกของหุ้นไทยให้ตื้นขึ้นชั่วคราว จากการติดตามสถานการณ์ พบว่า ตลาดหุ้นภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ลงไม่แรงนัก ทำให้ต้องมอนิเตอร์ต่อว่า มาตรการนี้ยังจำเป็นแค่ไหน และควรถอนออกเร็วแค่ไหน ซึ่งได้รับมติจากบอร์ดตลาดฯ ว่า สามารถเพิกถอนได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้วันที่ 27 มิ.ย. 68 หากไม่จำเป็นหรือตลาดหุ้นไม่ผันผวนรุนแรงถึงกรอบที่ตั้งไว้
"ยืนยันว่า ยังไม่มีแผนห้ามขายชอร์ต (Short Sell) อยากให้กลไกตลาดเดินได้ปกติ ไม่ได้ปิดโอกาสนักลงทุน ทุกวันนี้การเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ข้อมูลข่าวสารที่ออกมา มีทั้งจริงและไม่จริง หน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ ช่วยกรองและสื่อสารข่าวทั่วโลกให้เร็วที่สุด นักลงทุนต้องใจเย็น เพราะต้องกลั่นกรองข่าวสารทั่วโลกก่อนตัดสินใจลงทุน”
ขณะเดียวกัน วานนี้ (23 มิ.ย.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ได้ประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน หลังจากสหรัฐฯ โจมตี 3 โครงการนิวเคลียร์อิหร่านเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา และรัฐสภาอิหร่านลงมติปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญ ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันหายไป 20% ของความต้องการโลกว่า สำหรับไทย นำเข้าน้ำมันดิบ 90% จำนวนนี้นำเข้าจากตะวันออกกลาง 60% ซึ่งต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ดังนั้น กระทรวงพลังงาน ได้เตรียมความเป็นไปได้รูปแบบต่างๆ รองรับการสู้รบที่หากรุนแรงมากขึ้นอีก เพื่อเตรียมปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศ รวมทั้งเตรียมมาตรการช่วยเหลือด้านราคาน้ำมันขายปลีกผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
“ด้านราคา ส่วนหนึ่งจะใช้กองทุนน้ำมันฯ มารักษาเสถียรภาพ และอาจขอให้คลังลดจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ส่วนปริมาณสำรอง จะจัดหาน้ำมันดิบแหล่งอื่น และอาจเพิ่มปริมาณสำรอง ขณะที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เร่งหาแหล่งราคาถูกมาเตรียมไว้ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก”
ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบ 72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศ วันที่ 23 มิ.ย. 68 มีน้ำมันดิบ และสำเร็จรูปคงเหลือที่ใช้ได้ 60 วัน หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น จะบริหารจัดการเพื่อรักษาเสถียรภาพปริมาณสำรอง เพื่อสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่น ส่วนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 22 มิ.ย. 68 ติดลบ 35,408 ล้านบาท เป็นบัญชีก๊าซหุงต้มติดลบ 44,403 ล้านบาท แต่บัญชีน้ำมันบวก 8,995 ล้านบาท
นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับเพิ่มเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ให้กับน้ำมันดีเซล อีก 30 สตางค์ (สต.) ต่อลิตร จากเดิมชดเชย 35 สต. ต่อลิตร เป็น 65 สต. ต่อลิตร เพื่อคงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาไว้ที่ 31.94 บาทต่อลิตร มีผลวันที่ 24 มิ.ย. 68 เป็นต้นไป เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนจากราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น สำหรับการตรึงราคาน้ำมันครั้งนี้ นับเป็นมติครั้งที่ 5 ของ กบน. ในเดือนมิ.ย.นี้ ส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ จากกลุ่มดีเซล ติดลบวันละ 40.75 ล้านบาท ส่วนกลุ่มน้ำมันเบนซิน อยู่ที่วันละ 76.13 ล้านบาท
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า หากอิหร่านปิดช่องฮอร์มุซ ท่าเรือหลักน่าจะปิดทั้งหมด รวมถึงเส้นทางเดินเรืออื่นๆ ในตะวันออกกลาง ซึ่งจะกระทบการส่งออกไทยไปตะวันออกกลางทั้งหมด แต่ไม่มากนัก เพราะปี 67 ไทยส่งออกไปภูมิภาคนี้ 3.5% ของการส่งออกของไทยไปโลก แต่จะได้รับผลกระทบด้านการนำเข้ามากกว่า เพราะไทยนำเข้าน้ำมันดิบ และปุ๋ยเคมีจากตะวันออกกลางจำนวนมาก ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนของเกษตรกรแน่นอน
“ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ก่อนมีข่าวปิดช่องแคบ ค่าระวางเรือจากไทยไป Jabel Ali ของยูเออีขึ้นแล้ว 20% จาก 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตู้ เป็น 1,200 เหรียญฯ”
ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้ เพราะความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ มีสูงกว่าช่วงสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพราะปัจจุบันเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประกอบกับ สหรัฐฯ มีบทบาทกดดัน ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหรือต้นทุนการขนส่ง ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด