ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง พร้อมเข้าสู่ภาวะถดถอย “ทีมเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ 3 กูรู เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปีนี้
การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นมาทันที หลัง “คลิปหลุด” ว่อนโลกโซเชียล ซึ่งเป็นคลิปเสียงการสนทนาระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรี และประธานวุฒิสภากัมพูชา “ฮุนเซน” หรือ “อังเคิล” และ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาททางชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ
โดยมีเนื้อหาบางส่วนที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้แสดงท่าทีอ่อนข้อ พร้อมจะทำตามข้อเสนอของกัมพูชาทุกประการ และผลักกองทัพไทยไปเป็นฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้อารมณ์ของคนไทยจำนวนมากเดือดพล่าน เห็นได้จากการแสดงความคิดเห็นที่ดุเดือดในโลกโซเชียล รวมทั้งมีการนัดรวมตัวกันขับไล่นายกฯให้พ้นตำแหน่ง
แม้ในเวลาต่อมา น.ส.แพทองธาร ได้ “ขออภัย” ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเดินทางไปเยี่ยมปรับความเข้าใจกับแม่ทัพ ภาคที่ 2 ถึงจังหวัดอุบลราชธานี แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ
ขณะที่เดียวกันในฟากฝั่งการเมือง “พรรคภูมิใจไทย” ประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จากประเด็นดังกล่าว ขณะที่บางพรรคกดดันให้นายกฯลาออก อย่างไรก็ตาม หลายพรรคยังประกาศอยู่ต่อร่วมรัฐนาวาอย่างเดิม ท่ามกลางการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่มเติมอย่างหนักหน่วง
ส่งผลให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนอย่างยิ่ง เพราะเสียงที่มีอยู่ที่เหลือขณะนี้ปริ่มน้ำ และคาดว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่เร็วๆนี้ ขณะเดียวกันสถานการณ์ข้อแย้งด้านภูมิศาสตร์ระหว่างไทยและกัมพูชาก็ยังไม่จบ และในอนาคตอาจมีประเด็นอื่นๆเพิ่มเติม ที่ทำให้ความเสี่ยง
ของการเมืองไทยพุ่งสูงขึ้นอีกได้ สุดท้ายอาจส่งผลทำให้การบริหารบ้านเมือง และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะต่อไปสะดุดลง
ภาพที่ยังสุ่มเสี่ยงและไม่ชัดเจนของการเมืองไทยเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคนไทยทั้งประเทศ เห็นได้จากตลาดหุ้นที่ดิ่งลงแรงรายวัน และยังอาจซ้ำเติมให้การบริโภค การลงทุนที่ชะลออยู่แล้วเข้าสู่สถานการณ์หยุดชะงัก ทุกคน Wait and See เพื่อรอดูความชัดเจนทางการเมือง ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ให้สาหัสมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้เส้นตายของการเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ รวมทั้งยังต้องระวังผลกระทบจากการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่รุนแรงขึ้น และอาจผลักดันให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้น
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง พร้อมเข้าสู่ภาวะถดถอย “ทีมเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ 3 กูรู ได้แก่ “นายนาวา จันทนสุรคน” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) “นายธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ “นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ดังนี้
นายนาวาให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2568 และตลอดปี 2569 ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยลบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนสูงจากสงครามการค้าโลก ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งอาจยิ่งส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ลงได้อีก จากที่คาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ต่ำอยู่แล้วเพียง 1.8% และปีหน้าอาจต่ำกว่า 1.7%
ทั้งนี้ ถือว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนตามที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้ในปี 2568 และปี 2569 โดยเวียดนาม คาดเติบโต 5.8% และ 6.1%, ฟิลิปปินส์ คาด 5.3% และ 5.4%, อินโดนีเซีย คาด 4.7% และ 4.8%, กัมพูชา คาด 4.0% และ 4.5%, มาเลเซีย คาด 3.9% และ 4.3%
“ประเทศไทยยกระดับเป็นกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางมาตั้งแต่ปี 2530 ผ่านมา 38 ปี ก็ยังติดกับดัก ไม่สามารถขยับให้เหนือกว่านี้ได้ หนำซ้ำการเติบโตยังถดถอย ต่ำกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของประเทศกลุ่มรายได้ปานกลาง ซึ่งคาดการณ์ 4.1% ในปีนี้ และ 4.0% ในปีหน้า”
ขณะที่ขีดความสามารถการแข่งขันของไทยปี 68 ถูกปรับลดมาอยู่อันดับ 30 จากอันดับ 25 ของโลกเมื่อปีก่อน โดยด้านถดถอยมากสุด คือ ประสิทธิภาพของรัฐบาล (Government Efficiency) ลดลงถึง 8 อันดับ จากอันดับ 24 เป็นอันดับ 32 จึงขอให้รัฐบาลยกระดับด้านอื่นๆอย่างเร่งด่วน ได้แก่ ผลงานทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ประสิทธิภาพทางธุรกิจ (Business Efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
โดยที่ผ่านมา ประธาน ส.อ.ท.นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ได้นำเสนอต่อรัฐบาลหลากหลายมิติมาโดยตลอด ตั้งแต่ยื่นสมุดปกขาวต่อนายกฯเมื่อเดือน ส.ค.2567 ได้แก่ พัฒนาอุตสาหกรรมที่มีอยู่ เพิ่มแรงขับให้ประเทศด้วยอุตสาหกรรมใหม่ๆ ฯลฯ ซึ่งบางเรื่องภาครัฐขับเคลื่อนแล้ว เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม ทำงานแบบสุดซอยบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เพื่อขจัดผู้ทำธุรกิจเอาเปรียบประเทศ เป็นอันตรายกับประชาชน เป็นต้น
แต่ยังมีอีกหลายเรื่องไม่คืบหน้า เช่น กระทรวงการคลัง ต้องสนับสนุนสินค้าผลิตในประเทศ (Made in Thailand : MiT) ให้มากขึ้น เพราะมูลค่าจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ลดลงเกือบ 70% รวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ขอให้เน้นจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT และขยายการใช้สินค้า MiT ไปสู่โครงการร่วมลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) และกิจการของเอกชน
ส่วนกระทรวงพาณิชย์ ต้องใช้มาตรการเยียวยาทางการค้าต่างๆ อย่างรวดเร็วและทันการ เพื่อสกัดกั้นการทะลักของสินค้าต่างประเทศ ทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น ที่ประเทศต่างๆใช้อย่างจริงจัง แต่ไทยยังไม่ใช้เลยในปัจจุบัน รวมทั้ง
เข้มงวดออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) ไม่ให้สินค้าต่างชาติสวมสิทธิ์อ้างผลิตในไทย เพื่อหลบเลี่ยงจ่ายอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) หรืออากรตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ส่งออกไปประเทศอื่น
“ภาคอุตสาหกรรมพร้อมร่วมมือกับภาครัฐเต็มที่ เพื่อช่วยกันนำพาประเทศก้าวข้ามความยากลำบากมากมายเหล่านี้ไปให้ได้ โดยคาดหวังให้ภาครัฐเน้นความถูกต้อง และบังคับใช้กฎหมาย เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน ชนะอำนาจมืด หรือทุนสีเทา ที่เลี่ยงกฎหมายต่างๆ”
ส่วนนายธนวรรธน์กล่าวว่า การเมืองไทยขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีทิศทางใด ทำให้วิเคราะห์เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังได้ยาก แต่เดิมปีนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า จะขยายตัวได้ 1.5-2% เพราะยังมีความเปราะบาง และฟื้นตัวได้ช้าหลังโควิด-19 หนำซ้ำยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุม ทั้งการสู้รบของรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่จบ และการสู้รบในตะวันออกกลาง อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนไปทั่วโลก
แต่ขณะนี้ปัจจัยเสี่ยงที่มีมากขึ้น อาจทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าที่คาดได้จากปัจจัยสำคัญ คือ วิกฤติของรัฐบาล ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงได้
ประกอบกับการสู้รบของอิสราเอล-อิหร่าน ที่หากรุนแรงขึ้นจนปิดเส้นทางขนส่งน้ำมัน อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งไปเกิน 100 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล กระทบต่อต้นทุนการผลิต การขนส่งสินค้าและจะผลักดันให้เงินเฟ้อไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่สามารถใช้นโยบายการเงิน หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกแน่นอน
“ตอนนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่โต ความเชื่อมั่นประชาชน และธุรกิจอยู่ในช่วงขาลง นักลงทุนไทย และต่างประเทศไม่มั่นใจรัฐบาล อาจชะลอรอดูสถานการณ์ แล้วยิ่งถ้ารัฐบาลไม่สามารถกู้วิกฤติ หรือสร้างเสถียรภาพของรัฐบาลได้เร็ว โดยนายกฯลาออก เปลี่ยนแกนนำรัฐบาล หรือยุบสภา เลือกตั้งใหม่จะทำให้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาทใช้ไม่ทันไตรมาส 3-4 ปีนี้ งบประมาณปี 2569 ชะลออกไป การปล่อยสินเชื่อใหม่ยากมากขึ้น จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย และทำให้ปีนี้อาจเติบโตได้เพียง 0% กว่าๆ ไม่ถึง 1% ได้”
ดังนั้น นักการเมืองควรช่วยกันประคับประคองบ้านเมือง ให้สามารถใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาทได้ งบประมาณปี 2569 ผ่านและออกมาใช้ได้ตามกำหนด เพราะหากปล่อยให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ถึง 1% ในปีนี้ โอกาสที่จะกลับมาเติบโต 3–5% ตามศักยภาพอาจใช้เวลาหลายปี
“ทุกคนมองว่า เศรษฐกิจไทยอีก 2 ปีข้างหน้า อาจเติบโตได้ 2-3% แม้ยังต่ำกว่าศักยภาพ แต่ยังเติบโตได้ตามปกติ แต่ถ้ายังมีปัญหารุมเร้าหนักขึ้น ก็มีโอกาสโตต่ำกว่า 2% ได้ เพราะไทยมีปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ปรับตัวไม่ทัน และพึ่งพาต่างประเทศมาก ทั้งการท่องเที่ยว และการส่งออก ถ้ายังขาดแรงหนุนจากภายนอก ประกอบกับการบริโภค และการลงทุนภายในเปราะบาง เศรษฐกิจจะมีความเสี่ยงอย่างหนักหนาสาหัส”
อย่างไรก็ตาม การที่นายกฯเลือกใช้วิธีการขอโทษสังคมและอยู่ในตำแหน่งต่อไป แม้พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคขอถอนตัว แต่หากพรรคเพื่อไทยเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองใหม่เข้าร่วมรัฐบาล และเสียงของรัฐบาลเพียงพอ อีกทั้งแรงกดดันจากภาคประชาสังคมไม่ยืดเยื้อ รุนแรง ปัญหาการเมืองจะจบเร็ว ซึ่งจะกระทบเพียงความเชื่อมั่นผู้บริโภค ภาคธุรกิจ นักลงทุนไทยและต่างชาติเท่านั้น
“แต่ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจน้อย กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อได้ งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ยังใช้ได้ งบประมาณปี 2569 น่าจะผ่านและออกมาใช้ได้ตามแผน ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีเงินกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 3-4 และเศรษฐกิจปีนี้จะโตได้ใกล้เคียง 1.5% แต่ไม่ถึง 2% เพราะความเชื่อมั่นไม่โดดเด่น”
ขณะที่นายพิพัฒน์ให้มุมมองว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปีนี้เติบโตได้ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คาดว่า การเติบโตช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยสนับสนุนระยะสั้นที่จะทยอยหมดไปอย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การเร่งส่งออกก่อนการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกเร่งตัวขึ้นในช่วงต้นปี และส่งผลบวกต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม แต่ในครึ่งหลังของปี การส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามแรงส่งระยะสั้นที่หมดไป
2.ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลบวกต่อการบริโภคในประเทศและภาคบริการ เริ่มชะลอลงชัดเจน โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงกว่าครึ่ง จากความกังวลด้านความปลอดภัย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวในครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน 3.การลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวแรงจากฐานต่ำในปีก่อน เพราะการเบิกจ่ายงบล่าช้า และส่งผลบวกต่อภาคก่อสร้างในครึ่งปีแรก แต่ผลบวกจากปัจจัยนี้จะเริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง
“ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปัจจัยอื่นๆที่ยังคงกดดันแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งจากการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และนโยบายภาษีสหรัฐฯ รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่ถูกกดดันจากระดับหนี้ครัวเรือนสูง และการปล่อยสินเชื่อชะลอลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวตามการส่งออก และรายได้ภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรหลายชนิด โดยเฉพาะข้าว มีแนวโน้มลดลง”
นอกจากนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.ความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หากขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยจะกระทบการส่งออก และอาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หดตัว 2.ความขัดแย้งอิหร่านและอิสราเอล ที่เพิ่มความไม่แน่นอนต่อราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันสูงขึ้น อาจทำให้ไทยที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ มีเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น และดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง 3.ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ หากไม่สามารถผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ได้ จะกระทบเบิกจ่ายงบลงทุนช่วงปลายปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ และอาจทำให้เศรษฐกิจหดตัวช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ กล่าวโดยสรุปเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังกำลังเผชิญความท้าทายที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเครื่องจักรสำคัญทางเศรษฐกิจที่กำลังค่อยๆหายไป ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทั้งภายในและภายนอกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ภายใต้บริบทที่เครื่องจักรหลักทางเศรษฐกิจอ่อนแรงลง
ดังนั้น การประคับประคองเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี จึงต้องอาศัยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น สร้างแรงจูงใจให้ธนาคารปล่อยกู้ แก้ปัญหาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งสนับสนุนธุรกิจส่งออก และบริการให้ปรับตัวต่อความไม่แน่นอนจากภายนอกอย่างทันท่วงที
“นโยบายที่ “เร็ว ตรงจุด และมีประสิทธิภาพ เน้นประสิทธิภาพในการส่งผ่าน” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจ ที่อาจถดถอยได้ในช่วงครึ่งหลังของปี”.
ทีมเศรษฐกิจ
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม