สมาคมโรงแรมทำหนังสือถึงนายกฯ ขอให้ทบทวนขึ้นค่าแรง 400 บาทต่อวัน ชี้ท่องเที่ยวชะลอตัว ขึ้นค่าแรงเฉพาะกลุ่มอาชีพไม่เป็นธรรม ด้านสมาพันธ์เอสเอ็มอีย้ำยังไม่พร้อมจ่าย หวั่นเลิกจ้าง-ปิดกิจการ
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะกลุ่มอาชีพในภาคบริการและอุตสาหกรรมโรงแรมตามที่กระทรวงแรงงานและคณะกรรมการไตรภาคี ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพภาคบริการ และอุตสาหกรรมโรงแรม ได้แก่ โรงแรมตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 50 ห้องขึ้นไปรวมถึงสถานบริการอื่นๆ
ทั้งนี้ สมาคมโรงแรมไทยกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมติดังกล่าว ด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้ 1.ภาวะการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดหลักในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน มาเลเซีย และรัสเซีย ทั้งยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเด็นด้านความปลอดภัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการโรงแรมลดลง ขณะเดียวกันต้นทุนด้านวัตถุดิบ ค่าพลังงาน และแรงงานก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากอยู่แล้ว การขึ้นค่าแรงในช่วงเวลานี้จะซ้ำเติมภาระผู้ประกอบการและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
2.การกำหนดขึ้นค่าแรงเฉพาะกลุ่มอาชีพถือเป็นความไม่เป็นธรรม เช่น โรงแรมตั้งแต่ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรมที่มีห้องพักเกิน 50 ห้อง ส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งยังสร้างแรงจูงใจในทางลบที่อาจทำให้ผู้ประกอบการบางรายไม่ประสงค์ขอใบอนุญาตโรงแรมหรือลดการพัฒนาและยกระดับมาตรฐาน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวม
3.กระทบต่อการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดท่องเที่ยวโลก ทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระต้นทุนเฉพาะกลุ่มโดยไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและอุปสงค์ของตลาด อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายเทียนประสิทธิ์ กล่าวว่า สมาคมโรงแรมไทย จึงใคร่ขอความกรุณาจากท่านนายกรัฐมนตรี พิจารณาส่งเรื่องกลับไปยังคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อทบทวนมติและพิจารณายกเลิกการกำหนดปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะกลุ่มอาชีพ และขอให้พิจารณานโยบายในภาพรวมที่สะท้อนความเป็นธรรมและความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในทุกระดับด้วย
ด้านนายณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 68 มีมติให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาทในพื้นที่กรุงเทพฯ และบางกิจการในต่างจังหวัด โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 68 เป็นต้นไปว่า สมาพันธ์ฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติการขึ้นค่าแรง 400 บาทอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะขนาดกลางและเล็ก (SMEs) และเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวม
ทั้งนี้ เพราะผลกระทบของการขึ้นค่าแรงเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 68 ยังไม่ทันคลี่คลาย เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงเปราะบาง การเพิ่มภาระต้นทุนซ้ำซ้อนอาจทำให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ต้องปิดกิจการหรือเลิกจ้างงาน โดยธุรกิจบริการและก่อสร้าง ซึ่งใช้แรงงานเป็นต้นทุนหลัก จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้โครงการที่มีราคาสัญญาตายตัว เช่น งานภาครัฐ งานโครงการ ไม่สามารถปรับราคาได้ทันที ทำให้ขาดทุนหรือถูกบีบให้ทิ้งงาน อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการจะลดขนาดแรงงานประจำ หันไปจ้างงานนอกระบบ ทำให้เสี่ยงต่อเสถียรภาพแรงงานในระยะยาว
นอกจากนี้ มองว่า การปรับขึ้นค่าแรงในกรุงเทพฯ กว่า 7.2% ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว กลุ่มแรงงานขั้นต่ำจำนวนมากยังขาดทักษะหรือประสบการณ์ที่สอดคล้องกับค่าแรงวันละ 400 บาท ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลไม่มีโรดแมป หรือหลักการที่ชัดเจนในการกำหนดนโยบายค่าแรง จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“สมาพันธ์ฯ ขอแสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่ SMEs ทั่วประเทศจะต้องเผชิญจากมติดังกล่าว โดยหลายฝ่ายในภาคธุรกิจมองว่า เป็นการดำเนินนโยบายที่เร็วและรุนแรงเกินไป ในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะเปราะบาง โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุนและกำลังคน ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลทบทวนมติการขึ้นค่าแรง 400 บาทอย่างเร่งด่วน”