อพท.ชี้ส่วนใหญ่หนุนกระเช้าภูกระดึง

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. กล่าวว่า อพท.ได้ประเมินผลตอบรับภายหลังการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง วางไทม์ไลน์ดำเนินการ 30 เดือน คาดว่าใช้งบ 1,000 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 2570 และแล้วเสร็จในปลายปี 2572 พบว่ากว่า 70% เห็นด้วยกับโครงการนี้ อีก 20% รู้สึกเฉยๆ และที่เหลืออีก 10% ไม่เห็นด้วย ที่สำคัญพบว่าชาวบ้านในจังหวัดเลยส่วนใหญ่แทบจะเห็นด้วย 100% กับโครงการนี้ ขณะที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร แม้จะยังมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาส่วนใหญ่คือจะบริหารจัดการการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดย อพท.มีแผนจะเข้าพบผู้บริหารมูลนิธิฯ เป็นการส่วนตัวในเร็วๆ นี้ เพื่อชี้แจงข้อสงสัยทั้งหมด

ทั้งนี้ ตามแผนที่วางไว้ แม้จะมีกระเช้าภูกระดึงเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังคงขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะพักค้างคืนไว้ที่จำนวนเท่าเดิม ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง สอดรับกับที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 5,000 คนต่อวัน นอกจากนี้กระเช้าไฟฟ้าจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการจัดการขยะ ในขณะที่นักท่องเที่ยวผู้พิการสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าไปเยี่ยมชมภูกระดึงแบบไปกลับ 1 วันได้ โดยมองเวลาเปิดให้บริการตั้งแต่ 05.00-20.00 น. ส่วนค่าโดยสารไป-กลับต้องรอข้อสรุปอีกครั้งว่าจะอยู่ที่กี่บาท แต่ได้ศึกษาค่าโดยสารเทียบเคียงกับกระเช้าลอยฟ้าของแหล่งท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ส่วนใหญ่จัดเก็บที่ราคา 800-1,000 บาทต่อคน

ผู้อำนวยการ อพท. กล่าวต่อไปว่า เทรนด์ในปัจจุบันคนมีความนิยมการท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้น เห็นได้จากแนวโน้มการเติบโตของรายได้ท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พิเศษที่ อพท.ดูแลดีมาก โดย 5 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้สะสม 113 ล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 350,000 คน ใกล้เคียงกับตลอดปี 2567 ที่มีรายได้การท่องเที่ยวของ 55 ชุมชนใน 9 พื้นที่พิเศษ อยู่ที่ 114 ล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 419,000 คน ซึ่งเติบโตจากปี 2566 ที่มีฐานรายได้การท่องเที่ยวจาก 45 ชุมชนในพื้นที่พิเศษอยู่ที่ 62.5 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยว 247,000 คน ทั้งนี้ ทำให้คาดการณ์แนวโน้มรายได้ด้านการท่องเที่ยวของชุมชน ตลอดปี 2568 จาก 61 ชุมชนใน 9 พื้นที่พิเศษ จะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 272 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้กว่า 70% มาจากการขายแพ็กเกจกิจกรรมท่องเที่ยว ขณะที่อีก 30% มาจากการขายสินค้าชุมชน