ส.อ.ท.วอนรัฐเร่งเจรจาสหรัฐฯ ไทยเจอภาษีเหล็ก-อลูมิเนียมพุ่ง 50% กระทบสาหัส

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมของประเทศไทย ต้องเผชิญกันความไม่แน่นอนขั้นรุนแรง จากมาตรการที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 จากเดิม 25% เป็น 50% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากเหล็กและอลูมิ เนียม ทั้งสินค้าที่อยู่ระหว่างส่งมอบให้ลูกค้าในต่างประเทศและคำสั่งซื้อ(ออเดอร์)จากต่างประเทศที่ชะลอการสั่งซื้อ

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การส่งออกสินค้าสินค้ากลุ่มเหล็กและอลูมิเนียมของประเทศไทยไปยังสหรัฐฯ เผชิญปัญหาและความไม่แน่นอน เพราะการเพิ่มภาษีเหล็กเหล็กและอลูมิเนียมของไทยอีกครั้งจาก 25% เป็น 50% ส่งผลกระทบทันทีแบบตั้งตัวไม่ทันกับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสินค้าระหว่างส่งมอบให้กับลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่คือสินค้าท่อเหล็ก         

“ผลกระทบที่เกิดขึ้น ในกรณีที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ว่าให้ผู้นำเข้าจ่ายภาษีทั้งหมด ก็มีการเจรจาขอให้ช่วยกันจ่ายเช่นคนละครึ่งทำให้ผู้ประกอบการไทยอาจต้องขาดทุน หรือกรณีคำสั่งซื้อที่ยังไม่ส่งมอบ มีทั้งการเจรจาขอลดราคาหรือขอยกเลิกคำสั่งซื้อทั้งหมด”

ล่าสุด สมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม สอท. ได้ร้องขอให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อแจ้งให้หัวหน้าคณะเจรจาของรัฐบาล ในการเจรจาภาษีของสหรัฐฯ เพื่อขอให้เจรจาคงอัตราภาษีตามมาตรา 232 ไว้ที่ไม่เกิน 25% หรือไม่สูงกว่าประเทศคู่แข่งอื่นๆ เนื่องจากไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียมไปสหรัฐฯน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และยืนยันว่าเราไม่ได้สร้างภาวะคุกคามต่ออุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ และขอให้พ่วงการเจรจาอัตราภาษีตามมาตรา 232 ไปกับการเจรจา Reciprocal Tariff ที่จะครบกำหนดเส้นตายของการขยายเวลาในวันที่ 8 กค. นี้

ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของการเจรจาอัตราภาษีตามมาตรา 232 มีความสำคัญมาก เพราะขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขยายขอบเขตการบังคับใช้มาตรา 232 ไปยังสินค้าอื่นๆ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงกำลังพิจารณาจะใช้บังคับกับ เซมิคอนดักเตอร์ ธาตุแรร์เอิร์ธ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา และรถบรรทุกและชิ้นส่วนเป็นต้น