SCB คาดค่าเงินบาทแข็งขึ้น หลังดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงเพราะผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ แม้นักลงทุนทั่วโลกจะเริ่มหันมาเทเงินให้พันธบัตรในเอเชียมากขึ้น แต่ค่าเงินบาทของไทยยังผันผวนสูง เล็งจับตาเส้นตายนโยบายภาษีทรัมป์ในเดือนกรกฎาคมว่าจะส่งผลอย่างไรกับค่าเงินทั่วโลก
ธนาคารไทยพาณิชย์ กางแผนธุรกิจกลุ่มงานตลาดการเงิน หรือ SCB Financial Markets (SCBFM) ประเมินทิศทางค่าเงินที่ผันผวนหนักโดยเฉพาะดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น สงครามการค้า และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าที่กดดันเศรษฐกิจทั่วโลกให้มีความท้าทายมากขึ้น และทำให้ความเชื่อในการลงทุนสินทรัพย์สหรัฐฯ ค่อย ๆ ลดน้อยลงตามไปด้วย
ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการลงทุนบอนด์ (Bond) ต่ำลง ซึ่งเห็นได้จากการประมูลพันธบัตรระยะยาวลดลง และการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ สูงมากขึ้น ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะเดียวกันธนาคารไทยพาณิชย์มองว่าเงินบาทของประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะแข็งค่ามากขึ้น โดยคาดว่า 1-2 เดือนนี้ ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 32.30 - 33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
วชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ บอกว่า เหตุผลที่ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอการเติบโตนั้นมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก เนื่องจากสหรัฐกำลังเผชิญกับผลกระทบของนโยบายขึ้นภาษีทรัมป์ที่ทำเศรษฐกิจในประเทศมีความผันผวน ส่งผลให้ความคิดของเหล่านักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนไป จากที่เคยอยากจะถือเงินดอลลาร์เยอะๆ ตอนนี้พวกเขาอยากดึงเงินกลับไปประเทศของตัวเองมากกว่า
ในขณะที่เม็ดเงินจำนวนมากเริ่มไหลออกจากสหรัฐฯ เพราะนักลงทุนมองว่าสินทรัพย์สหรัฐฯ อยู่ในความเสี่ยง ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงอย่างต่อเนื่องทำให้ค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแข็งขึ้น เช่น เงินบาทในปีนี้แข็งค่ามากขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
แพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดการเงินมีความท้าทายสูงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าที่กดดันภาคธุรกิจของไทย รวมถึงปัจจัยล่าสุด คือ ความไม่แน่นอนของนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Tariffs) มีผลกระทบการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ทำให้ค่าเงินบาทผันผวนสูง โดยบางครั้งค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงถึง 30-40 สตางค์เพียงแค่ช่วงข้ามคืนเพราะเศรษฐกิจไม่มีความแน่นอน
อัตราความผันผวนของค่าเงินบาทอยู่ที่อันดับ 3 ของฝั่งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งนับว่ายังอยู่ในสถานะ "ผันผวนสูง" โดยในปีนี้เงินบาทเคยอ่อนค่าไปอยู่ที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะกลับมาแข็งค่าที่ 32.40 บาท เฉลี่ยแล้วมีการเปลี่ยนแปลงถึง 7.4% ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน
แม้ว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มว่าจะแข็งมากขึ้น แต่ยังตามหลังสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค เพราะที่ผ่านมาอัตราการลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่ำ ทำให้แนวโน้มการนำเงินกลับเข้าสู่ประเทศ (Repatriation flows) รวมถึงไทยยังมีการถือหุ้นและพันธบัตรต่างประเทศต่ำกว่าประเทศอื่นในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี หรือมาเลเซีย โดยมีนักลงทุนต่างชาติเพียงแค่ประมาณ 9.8% เท่านั้นที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย ทำให้แนวโน้มท่ีไทยอาจได้รับอานิสงส์ของเงินทุนเปลี่ยนทิศจากสหรัฐฯ มาเอเชียน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
วชิรวัฒน์ ยังให้ความเห็นเรื่องผลกระทบที่ธุรกิจรายย่อยอาจได้รับจากความผันผวนของค่าเงินบาทว่า ร้านค้ารายย่อยส่วนใหญ่ยังคงใช้เรตเงินดอลลาร์สหรัฐในการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจเป็นหลัก หากค่าเงินบาทกลับมาแข็งมากขึ้นสัก 10% จะทำให้กำไรของธุรกิจลดน้อยลงกว่าที่เคยทำได้
ดังนั้นการมี FX Forward เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านอัตราค่าเงินจากการค้าระหว่างประเทศ จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพราะมันจะทำให้ร้านค้ารู้ว่าอัตราค่าเงินล่วงหน้า ซึ่งจะสามารถอิงราคาตามแนวโน้มเรตเงินได้เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับราคาตามได้
การที่ร้านค้ารายย่อยยังคงพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์เป็นอัตราแลกเปลี่ยนหลักของธุรกิจอยู่นั้น ก็เหมือนกับการแบกความเสี่ยงไว้กับตัวเอง ดังนั้นจึงควรหันมาใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศ (Local Currency) มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ เพราะเงินบาทและเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศในภูมิภาคนั้น มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันและผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น
สุดท้ายนี้ แม้ว่าไทยจะได้รับแนวโน้มที่ดีจากการค่าเงินบาทแข็งขึ้น และธนาคารไทยพาณิชย์มองว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าได้ไม่มากนัก แต่ก็ต้องจับตาดูทิศทางต่อไปในเดือนกรกฎาคมที่เป็นเส้นตายของภาษีทรัมป์ รวมถึงคำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าว่าจะกระทบต่อค่าเงินของฝั่งภูมิภาคเอเชียมากแค่ไหน
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney