
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง “พิชัย” ประกาศข่าวดีว่า ได้รับข้อความจากรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วว่า พร้อมเปิดพื้นที่ให้มีการเจรจาภาษีอย่างเป็นทางการระหว่างไทยและสหรัฐฯ แต่วันและเวลาการเจรจาของ “ทีมประเทศไทย” นั้น ต้องรอการประสานงานตามขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม หากคิดจากกำหนดเวลา 90 วัน นับจากวันที่ 2 เม.ย.ซึ่งเป็นวันแรกของการประกาศปรับขึ้นภาษีตอบโต้กับประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ข่าวดีนี้ถือว่าอาจจะกระชั้นชิดมากไปสักนิด โดยคาดกันว่าการประสานงานเพื่อกำหนดวันเจรจาน่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง และอย่างเร็วที่สุดการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย.นี้
และถึงแม้ว่าจะมีการเจรจาครั้งแรกอย่างเป็นทางการระหว่าง 2 ประเทศ แต่จากการเจรจาของสหรัฐฯกับหลายประเทศก่อนหน้า ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถจบปัญหา หรือสร้างข้อตกลงทางการค้า และภาษีใหม่ได้ในครั้งเดียว
ทำให้มีคำถามว่า หากเรายังไม่มีข้อตกลงเรื่องภาษีตอบโต้ใหม่กับสหรัฐฯ หลังวันที่ 9 ก.ค.จะเป็นอย่างไร
กรณีที่เราได้เริ่มเจรจาแล้ว ก่อนวันที่ 9 ก.ค. เชื่อว่าผลการเจรจราอย่างน้อยที่สุดฝั่งไทยควรสามารถขอยกเว้นการขึ้นภาษีตอบโต้ 36% ออกไปก่อน แต่อาจจะต้องคงอัตราการจัดเก็บภาษีนำเข้าไว้ที่ 10% ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บเท่ากันทุกประเทศไว้ ซึ่งทำให้เราได้เปรียบหลายประเทศที่ยังไม่ได้เจรจาและอาจจะต้องถูกบังคับใช้ภาษีตอบโต้หลังวันที่ 9 ก.ค.ทันที
ขณะที่หากเป็นกรณีที่เรานัดวันได้แล้ว แต่ไม่ทันวันที่ 9 ก.ค. กรณีนี้ ออกได้ 2 ทางคือ เราสามารถเจรจาให้สหรัฐฯ คงภาษีเดิม 10% กับเราไปก่อน จนกว่าจะมีการเจรจาต่อรองอย่างเป็นทางการ หรือกรณีที่ 2 เราอาจจะตกไปอยู่เทียร์ 2 คือ ต้องบังคับใช้ภาษีตอบโต้ 36% ไประยะหนึ่ง จนกว่าจะมีการเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่งกรณีนี้ถือว่าไม่ดีกับการส่งออก อย่างไรก็ตาม มีบางฝ่ายที่มองในแง่ดี ว่า ก่อนวันครบกำหนด 90 วัน สหรัฐฯอาจประกาศต่อเวลาการเลื่อนบังคับใช้ภาษีตอบโต้ไปอีกระยะ แต่กรณีนี้ยังไม่มีใครคอนเฟิร์มได้
แต่ไม่ว่าวันที่ 9 ก.ค.นี้ จะออกมารูปแบบใด สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ การเร่งทำความเข้าใจกับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ว่า หากเป็นกรณีที่ 1 จะต้องทำอย่างไร และหากเป็นกรณีเลวร้าย ภาคธุรกิจ และโรงงานมีทางออกอย่างไรบ้าง รัฐบาลจะช่วยในเรื่องการปรับตัวอย่างไร มีเครื่องช่วยหายใจ ยากระตุ้นความดัน ชีพจรให้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา 2 เดือนกว่าแล้ว “มิสเตอร์พี” ยังไม่เห็นมาตรการ หรือกองทุนอะไรที่เป็นรูปธรรม
แน่นอนว่า การเร่งเจรจาจำเป็นต้องดำเนินต่อไป และ “มิสเตอร์พี” เห็นด้วยกับ รมว.คลังว่า อัตราภาษีที่เราจบสุดท้ายจะต้องแข่งขันได้ ไม่สูงกว่าคู่แข่ง แต่ในอีกทาง การรับมือและช่วยเหลือต่อลมหายใจภาคธุรกิจนั้น รัฐบาลควรเร่งมือมากกว่านี้ หากไม่อยากให้เศรษฐกิจไทยซึมยาว โรงงานล้มเป็นโดมิโน.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม