
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกของไทยว่า นโยบายภาษีสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ได้ข้อสรุป เป็นส่วนหนึ่งทำให้การส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งทั่วโลกเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ สาเหตุที่ส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งจะต้องติดตามว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
“แน่นอนว่า ประเทศไทยยังยึดหลักไม่ได้เข้าไปแทรกแซง โดยการดูแลเป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่นโยบายการเงินจะไปคิด 2-3 เรื่อง ว่าจะทำอย่างไร ให้ค่าเงินบาทไม่เสียเปรียบประเทศอื่น เพราะตอนนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเงินบาทจะแข็งนานแค่ไหน หรือจะกลับมาอ่อนค่าเมื่อไร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก”
นายพิชัย ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลอาจใช้งบประมาณ 157,000 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนเรื่องดังกล่าว และส่วนตัวยังไม่เคยได้ยินแนวทางนี้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจควรใช้กับโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างผลตอบแทน เช่น ระบบน้ำเพื่อเกษตรอุตสาหกรรม มากกว่าจะไปใช้ในโครงการระยะสั้น หลักการของการใช้งบ 157,000 ล้านบาท จะต้องมีความจำเป็นและก่อให้เกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และส่วนตัวได้นำแนวทางการทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท มาคิดอยู่หลายชั่วโมง ซึ่งเรามีวิธีหาทางออกให้ โดยทุกอย่างต้องคิดแบบรอบคอบ
นายพิชัย ยังกล่าวถึง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 แม้ว่ากรอบงบรายจ่ายเพิ่มขึ้นน้อยกว่าปีงบ 68 แต่ถ้าดูงบรายจ่ายลงทุนไม่ได้มีการลดลง แต่ไปลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ซึ่งงบฯปี 69 ที่จะเข้าสู่รัฐสภาในวันที่ 28 พ.ค.นี้ อยากฝากคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ โดยดูให้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความต่อเนื่องไปหลายปี
ด้านนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการนำเสนอและรวบรวม ส่วนมีกี่หน่วยงานที่เสนอเข้ามานั้น ตนยังไม่ได้ตรวจสอบดู แต่ยอมรับว่าเสนอกันมามาก อย่างไรก็ตาม จะมีคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการอนุมัติแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาทนั้น รัฐบาลได้มีการสอบถามความคิดเห็นจากหน่วยงานทางเศรษฐกิจ ซึ่งการประชุมครม.วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ธปท. ได้เสนอความเห็นด่วนเพื่อให้ ครม.นำไปประกอบการพิจารณา ลงนามโดยนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.มีเนื้อหาระบุว่า ธปท. เห็นด้วยกับการทบทวนแผนการใช้งบประมาณให้สอดรับกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทันท่วงที เพื่อรับมือสงครามการค้าและการประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้
ทั้งนี้ ธปท. เห็นว่า ควรให้น้ำหนักกับการบรรเทาผลกระทบและสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจมากขึ้นโดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ 1.ควรจัดสรรงบประมาณโดยให้ความสำคัญกับการบรรเทาความเดือดร้อนต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ กลุ่มผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต และกลุ่มผู้ผลิตที่ถูกกระทบจากการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (import flooding) ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งผู้ผลิตในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว โดยควรมีโครงการที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและเพิ่มโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ควบคู่ไปด้วย
2. ควรมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือ import flooding เพราะถ้าไม่ดำเนินการในเรื่องนี้ก่อน โครงการหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ อาจไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร โดยแนวทางที่ต้องเร่งดำเนินการ ใน 3 ด้าน ได้แก่ การตรวจมาตรฐานสินค้า การตรวจสินค้าผ่านด่าน และการป้องกันสวมสิทธิสินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออก, เร่งรัดกระบวนการไต่สวนข้อพิพาทกับต่างประเทศเรื่องการเข้ามาทุ่มตลาดในไทย,กำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ขายสินค้าในไทยต้องจัดตั้งสำนักงานในไทย เพื่อกำหนดหลักเกณฑตรวจสอบมาตรฐานสินค้า ระบบชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม และการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมด้านภาษี เป็นต้น