อังกฤษ-จีน-สิงคโปร์ ชิงเค้กร.ร.นานาชาติในไทย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

อังกฤษ-จีน-สิงคโปร์ ชิงเค้กร.ร.นานาชาติในไทย

Date Time: 28 พ.ค. 2568 07:00 น.

Summary

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยโตต่อเนื่อง จดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มขึ้นมาก รายได้-กำไรโตฉ่ำ ประเทศที่ลงทุน 3 อันดับแรก ได้แก่ อังกฤษ จีน และสิงคโปร์ ตามความหวังผู้ปกครองต้องการสร้างคุณภาพชีวิตให้ลูก ขณะที่ 4 เดือน ธุรกิจจัดตั้งใหม่ยังดิ่งต่อ เหตุเศรษฐกิจโลก-ไทยชะลอ นโยบายภาษีทรัมป์ หนี้ครัวเรือนไทยสูง

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจที่น่าสนใจล่าสุด ณ วันที่ 30 เม.ย. 68 พบว่า “ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ” ในไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีนิติบุคคล 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการลงทุนจากต่างชาติ 5,733 ล้านบาท ประเทศที่เข้ามาลงทุน 3 อันดับแรกคือ อังกฤษ 30% ทุนจดทะเบียน 1,706 ล้านบาท ตามด้วยจีน 11% ทุนจดทะเบียน 636 ล้านบาท และสิงคโปร์ 7% ทุนจดทะเบียน 428 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่าง 20 ราย พบว่า 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 63-67 แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ธุรกิจก็มีรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 65 สร้างรายได้ 5,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ถึง 6.57% กำไร 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.75% ส่วนปี 66 รายได้ก้าวกระโดดเป็น 7,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 65 สูงถึง 28.04% กำไร 1,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.28% และปี 67 รายได้ 8,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.45% กำไร 1,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.08%

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติขยายตัวต่อเนื่อง เพราะคุณภาพของครูต่อการดูแลนักเรียนที่มีสัดส่วนประมาณ 8 : 1 คน ทำให้สอนและติดตามการเรียนของนักเรียนได้อย่างใกล้ชิด, มาตรฐานระบบการศึกษาที่เป็นแบบสากล และการขยายตัวของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือทำธุรกิจในไทย และมีครอบครัวติดตามมาด้วย ส่งผลให้ธุรกิจนี้ยังขยายได้อีกมาก โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มาก อย่างภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หรือการพัฒนาหลักสูตรการสอนที่สอดคล้องกับโลกอนาคต เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเขียนโค้ดดิ้ง ปัญญาประดิษฐ์”

นางอรมน กล่าวต่อถึงการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนเม.ย. 68 ว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,325 ราย ลดลง 205 ราย เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. 67 และทุนจดทะเบียนรวม 32,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,870 ล้านบาท สำหรับมูลค่าทุนจดทะเบียนเดือนเม.ย. ที่สูงมาก เพราะมี 2 รายที่มีทุนจดทะเบียนรวมกัน 16,520 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ มูลค่าทุนจดทะเบียน 14,940 ล้านบาท และบจ.อิเดมิตสึ อพอลโล (ประเทศไทย) 1,580 ล้านบาท ส่วนช่วง 4 เดือนแรกของปีพบ จดทะเบียนตั้งใหม่ 30,148 ราย ลดลง 1,385 ราย ทุนจดทะเบียน 112,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,849 ล้านบาท

“ช่วง 4 เดือน ธุรกิจจัดตั้งใหม่ลดลง เช่น อสังหาริมทรัพย์ ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ขายปลีกสินค้าในร้านทั่วไป ตัวแทนนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น จากความผันผวน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย นโยบายภาษีของสหรัฐฯ แต่ก็มีบางธุรกิจที่จัดตั้งเพิ่ม เช่น ขายส่งสินค้าทั่วไป ขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ โรงแรม โรงพยาบาล ขายยานยนต์เก่า เพราะกิจกรรมและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล เทรนด์เรื่องสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่”
ขณะที่เลิกกิจการเดือนเม.ย. 68 มีจำนวน 814 ราย เพิ่มขึ้น 4 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 4,131 ล้านบาท ลดลง 965 ล้านบาท ส่วนช่วง 4 เดือน เลิกกิจการแล้ว 3,921 ราย เพิ่มขึ้น 302 ราย ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 15,990 ล้านบาท ลดลง 1,050 ล้านบาท


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ