
ฮังการี เป็นประเทศในภูมิภาคยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล โดยเป็นประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางยุโรป
จึงสามารถเป็นศูนย์กลางการสื่อสารและการขนส่งของยุโรป
ประเทศฮังการีมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 57 ของโลก จากการจัดอันดับราคาตลาดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
และมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อเป็นอันดับที่ 58 จาก 191 ประเทศ ซึ่งวัดโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ที่สำคัญฮังการียังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 35 และผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 34
ในปี พ.ศ.2567 ประเทศฮังการีได้มีการขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีความร่วมมือทางการค้ากับหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตุรกี รัสเซีย จีน เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุด ประเทศฮังการีจึงได้แต่งตั้ง “พจนา พะเนียงเวทย์” กรรมการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในนามแบรนด์ “มาม่า” เป็น “ประธานหอการค้าฮังการี-ไทย” เนื่องจากมาม่าได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ประเทศฮังการี
มุ่งหวังให้ “ประธานหอการค้าฮังการี-ไทย” คนแรกและคนปัจจุบัน ได้ช่วยยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า-การลงทุนระหว่างไทยกับฮังการีให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
“พจนา พะเนียงเวทย์” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสถานเอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทยให้เป็น “ประธานหอการค้าฮังการี-ไทย” คนแรกและคนปัจจุบัน กล่าวว่าทางสถานทูตฮังการีประจำประเทศไทยได้มอบหมาย 4 ภารกิจสำคัญในการดำรงตำแหน่งนี้ นั่นคือ
1.)ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับฮังการีให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของนักธุรกิจทั้ง 2 ประเทศให้มีความใกล้ชิดสนิทสนม
ทั้งนี้ ฮังการีได้เข้าร่วมสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อปี 2547 และเป็นส่วนหนึ่งของเขตเชงเกนตั้งแต่ปี 2550
สำหรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับประเทศไทยซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของฮังการีในภูมิภาคนี้ ฮังการีและประเทศไทยได้ขยายความร่วมมือในด้านการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านเกษตรกรรมและอาหาร
โดยฮังการีกับไทยได้มีความตกลงร่วมกันที่สำคัญในหลายฉบับ เช่น บันทึกความเข้าใจระหว่างธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกฮังการีกับธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย(ลงนามเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541)
ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการเกษตร (ลงนามเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543)
ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทย -ฮังการี (ลงนามเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2544)
ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ลงนามเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2547)
บันทึกความเข้าใจระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมฮังการี(ลงนามเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2558)
ในช่วงระยะหลังฮังการีกับประเทศไทยได้มีการขยายความ ร่วมมือในด้านการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านเกษตรกรรมและอาหาร
นอกจากนี้ ฮังการีกับประเทศไทยยังได้ร่วมกันส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การพัฒนานวัตกรรมในภาคพลังงานสะอาดและการเกษตรสมัยใหม่ ซึ่งทั้งสองประเทศได้ประโยชน์จากความร่วมมือนี้เป็นอย่างมาก
สำหรับสินค้าส่งออกของไทยไปฮังการีที่สำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ก๊อก วาล์วและส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ แผงสวิตช์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า
ขณะที่สินค้านำเข้าจากฮังการีมาไทย ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม
อย่างไรก็ดีปัจจุบันยังมีนักธุรกิจจากไทยเข้ามาลงทุนในฮังการีไม่มากนัก ที่เห็นๆก็มีบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ในฮังการี ณ เมืองแอสแตร์โกม (Esztergom) มูลค่าการลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท
และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เข้ามาตั้งโรงแรมหรูใจกลางกรุงบูดาเปสต์ คือ Anantara New York Palace Budapest เมื่อปี 2567
ขณะที่เมื่อปี 2561 บริษัท MOL รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของฮังการีได้ร่วมลงทุนกับบริษัท ทิสเซ็นครูป (Thyssenkupp) ของเยอรมนีในไทยด้านเทคโนโลยี เพื่อผลิตและส่งออกชิ้นส่วน/อุปกรณ์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในฮังการี ปัจจุบันโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง
ทั้งที่ฮังการีมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โดยตั้งอยู่ใจกลางยุโรป จึงมีศักยภาพที่เหมาะสมในการเป็นสปริงบอร์ดในการส่งสินค้ากระจายไปทั่วยุโรป
ดังนั้น ทางฮังการีจึงอยากจะให้ไทยได้เข้ามายกระดับการค้าและการลงทุนในฮังการีมากขึ้น ขณะเดียวกันทางฮังการีเองก็สนใจจะเพิ่มพูนการค้าการลงทุนในประเทศไทย
ที่ผ่านมาในฐานะประธานหอการค้าฮังการี-ไทยก็ได้ร่วมกับทางสถานทูตฮังการีประจำประเทศไทยจัดงานพบปะนักธุรกิจของ 2 ประเทศให้มีการจับคู่ทางธุรกิจ
สำหรับภารกิจสำคัญประการที่ 2 ในฐานะประธานหอการค้าฮังการี-ไทย ก็คือ ส่งเสริมและเผยแพร่รวมทั้งแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของ 2 ประเทศให้เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางมากขึ้นในทั้ง 2 ประเทศ
เพราะต้องยอมรับว่าเราเองก็มีความรู้ในเรื่องวัฒนธรรมของฮังการีน้อยมาก ขณะที่ฮังการีเองก็รู้จักวัฒนธรรมไทยยังไม่มากนัก ทั้งที่ทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่เก่าแก่ มีวัฒนธรรมที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดกันมายาวนาน แต่เราต่างรู้จักกันในเรื่องนี้น้อยมาก
นี่จึงเป็นอีกโจทย์ที่ประธานหอการค้าฮังการี-ไทยจะทำงานร่วมกับสถานทูตฮังการีประจำประเทศไทยในการร่วมกันเผยแพร่วัฒนธรรมอันดีงามของ 2 ประเทศให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศได้รับรู้กันมากขึ้น
ส่วนภารกิจที่ 3 คือ เรื่องส่งเสริมการศึกษา โดยทางฮังการีอยากจะให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาไทยกับฮังการี อยากให้เด็กไทยได้มาศึกษาที่ฮังการีมากขึ้น จึงได้จัดทุนการศึกษาปีละ 40 ทุนให้ไปศึกษาที่ฮังการี ซึ่งที่นี่ก็มีความโดดเด่นด้านการศึกษาอยู่หลายแขนง โดยเฉพาะเรื่องวิทยาศาสตร์ เกษตรกรรม และการดนตรี
และภารกิจที่ 4 ที่ประธานหอการค้าฮังการี-ไทยได้รับมอบหมายมาจากสถานทูตฮังการีประจำประเทศไทย ก็คือการส่งเสริมการท่องเที่ยวของ 2 ประเทศ
ทางสถานทูตฮังการีประจำไทยจึงอยากให้ช่วยโปรโมตส่งเสริมการท่องเที่ยวในฮังการีให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น เพราะที่ฮังการีเป็นประเทศที่สวยงาม น่าท่องเที่ยว มีวิวทิวทัศน์สวยงามและเปี่ยมด้วยวัฒนธรรมและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย แต่คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักเพียงกรุงบูดาเปสต์เท่านั้น
ขณะเดียวกันเราก็อยากส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้ชาวฮังการีได้รู้จักมากขึ้นเช่นกัน
โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆที่สอดคล้องกับ 4 ภารกิจนี้ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะทางสถานทูตฮังการีประจำประเทศไทยได้ช่วยเกื้อหนุนอย่างเต็มที่ ขณะที่หน่วยงานต่างๆของไทยก็พร้อมช่วยสนับสนุนเต็มที่เช่นกัน โดยเฉพาะสถานทูตไทยประจำฮังการี หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
สำหรับภาวะเศรษฐกิจของฮังการีในขณะนี้มีปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ข้าวของแพงมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน ระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้ค่าแรงที่ฮังการีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะแต่ที่ฮังการี หากทว่าเป็นไปทั้งยุโรป เพราะผลพวงจากสงครามดังกล่าวนี่เอง
ทั้งนี้ ฮังการีมีจุดเด่นที่ประชากรส่วนใหญ่ของฮังการีอยู่ในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงาน และการมีทำเลที่ตั้งอยู่ตรงกลางของยุโรป จึงเหมาะในการเข้ามาลงทุนในฮังการี ซึ่งนอกจากจะตั้งโรงงานเพื่อผลิตป้อนในตลาดฮังการีแล้ว ยังจะเป็นสปริงบอร์ดกระจายสินค้าที่ผลิตได้กระจายทั่วยุโรป ซึ่งการที่ฮังการีอยู่ในอียู ยิ่งเอื้อต่อการส่งออกไปทั่วยุโรปมากขึ้น
ที่สำคัญฮังการีมองประเทศไทยในแง่บวก คนฮังการีมีความชื่นชมประเทศไทย ทำให้สินค้าไทยได้รับการต้อนรับที่ดี เห็นได้จาก “มาม่า” ก็ไปโลดในตลาดฮังการี
สำหรับอุปสรรคในการทำการค้าระหว่างไทยกับฮังการีนั้น ช่วงแรกๆจะมีปัญหาเรื่องภาษา แต่ในช่วงหลังมีคนฮังการีพูดอังกฤษได้มากขึ้นเรื่อยๆทำให้ปัญหานี้หมดไป
อีกปัญหาคือเรื่องค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัญหานี้ก็เป็นไปทั้งยุโรป นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน จึงคิดว่านี่ไม่น่าจะใช่ปัญหาอีกต่อไป อยู่ที่เราต้องปรับตัวเพื่อเดินหน้า
ในส่วนที่สหรัฐฯยุค “ทรัมป์ 2.0” ได้ขึ้นภาษีนำเข้าสูงขึ้นนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก เพราะภาษีทรัมป์มีผลกับทุกประเทศ ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะฮังการี
สิ่งที่น่าสนใจคือชาวฮังการีชื่นชอบอาหารไทย ดังนั้น การทำตลาดอาหารในฮังการีจึงเป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจ
นอกเหนือจากการดำรงตำแหน่ง “ประธานหอการค้าฮังการี-ไทย” แล้ว “พจนา พะเนียงเวทย์” ยังเป็นกรรมการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ที่สุดของไทย ในนามแบรนด์ “มาม่า” โดยรับผิดชอบในเรื่องการทำตลาดส่งออก
“ปัจจุบันมาม่าได้มีการทำตลาดในประเทศต่างๆทุกภูมิภาคทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ “มาม่า” เป็นภาษาไทย ซึ่งล้วนแต่ขายดี โดยมีโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ตั้งอยู่นอกประเทศไทย อยู่ 4 โรงงานขนาดใหญ่ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา บังกลาเทศ และฮังการี ตามลำดับ”
โดยโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ทั้งในกัมพูชา และเมียนมา จะมุ่งผลิตเพื่อป้อนในตลาดกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ส่วนโรงงานที่บังกลาเทศเดิมตั้งใจจะตั้งเป็นฐานผลิตป้อนตลาดเอเชียใต้ ซึ่งครอบคลุมทั้งอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่ อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังอินเดียได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มาจากบังกลาเทศ ทำให้ต้องปรับแผนนำเข้ามาจากประเทศไทยแทน ซึ่งยังมีราคาที่ถูกกว่าที่จะนำเข้าจากบังกลาเทศ
ทั้งนี้ การตั้งโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ในฮังการี ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด เพราะนอกจากจะสามารถผลิตป้อนตลาดในฮังการีแล้ว ยังได้ฮังการีเป็นสปริงบอร์ดกระจายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ไปทั่วยุโรป ทำให้ขายดียิ่งขึ้น
จนส่งผลให้ต้องมีการขยายโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” เฟส 2 ในฮังการี เพราะออเดอร์ที่เข้ามามีอยู่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนการลงทุนตั้งโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ในประเทศอื่นๆก็ยังเป็นเพียงแค่แผน แต่ยังไม่เคาะออกมา โดยมีแผนจะไปตั้งโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ในหลายประเทศ แต่พอถึงสุดท้ายตอนจะเคาะก็เปลี่ยนใจ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไป จากหลายปัจจัยด้วยกัน
เช่น แผนการตั้งโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ในสหรัฐฯ หรือแอฟริกาที่เป็นตลาดใหญ่ ก็ยังต้องรอดูสถานการณ์ที่แน่ชัดและความเหมาะสมในช่วงนั้นๆ!!!
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม