
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 1 ปี 68 ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 3.1% เป็นผลจากภาคการผลิต และการใช้จ่ายยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐขยายตัว 26.3% และการส่งออกบริการขยายตัว 12.3% เป็นผลจากการเร่งนำเข้าสินค้าจากประเทศปลายทาง เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า
“แม้การส่งออกไทยไตรมาสแรกขยายตัวสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ยังไว้ใจไม่ได้ ในระยะข้างหน้ามาตรการกีดกันทางการค้ายังคงอยู่ และยังหาข้อยุติไม่ได้ ที่สำคัญคือ ยังไม่มีใครคาดได้ว่า ผลการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ จะออกมาอย่างไร ยกเว้นอังกฤษที่จบแล้ว ส่วนประเทศอื่นยังรอคิวอยู่ แต่ตอนนี้มาตรการกีดกันทางการค้าสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับทุกประเทศแล้ว คือ การขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียม อีกทั้งแต่ละประเทศยังถูกเก็บภาษีขั้นต่ำเพิ่มขึ้นอีก 10% เท่ากัน และยังมีภาษีเฉพาะที่แต่ละประเทศถูกเก็บไม่เท่ากัน ซึ่งไทยถูกเก็บ 36% อีก”
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 68 สศช. ได้ปรับประมาณการใหม่จากเดิมคาดขยายตัว 2.3 – 3.3% โดยค่ากลางอยู่ที่ 2.8% โดยปรับใหม่เหลือขยายตัว 1.3 – 2.3% ค่ากลาง 1.8% นอกจากนี้ ยังคาดว่า การอุปโภคบริโภคขยายตัว 2.4% และการลงทุนภาคเอกชนลดลง 0.7% ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 1.8% อัตราเงินเฟ้อ 0.0 - 1.0% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.5% ของจีดีพี
“การปรับจีดีพีดูจากโอกาสที่จะเกิดขึ้นด้วย กรณีเลวร้ายสุด หากเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ไม่เป็นผล จีดีพีจะขยายตัว 1.3% ไม่ได้ประมาณการต่ำกว่าสำนักอื่น เพราะมีค่ากลางที่จีดีพีขยายตัว 1.8% ซึ่งรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังจะออกแล้ว เบื้องต้น มีงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท งบประมาณเบิกจ่ายเหลื่อมปีที่ต้องจ่ายให้จบไตรมาส 4 ปีนี้ 66,000 ล้านบาท และงบลงทุนโครงการขนาดเล็กที่ต้องทำให้เสร็จใน 1 ปี รวมกว่า 223,000 ล้านบาท ถ้ามองปีนี้ ช่วงกลางไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 น่ากังวลสุด ต้องเร่งให้มีเม็ดเงินลงในช่วงนั้น”
สำหรับเครื่องยนต์สำคัญที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจในปีนี้ คือ การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยว ที่ต้องเร่งให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกขยายตัวดี แต่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสหรัฐฯ ประกาศภาษีตอบโต้ คาดว่า ช่วงถัดไปสถานการณ์จะผันผวนมากขึ้น ทั้งการค้า การลงทุน และอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง จึงขอให้ภาคธุรกิจเตรียมรองรับผลกระทบจากความผันผวนในช่วงถัดไป ส่วนประชาชนต้องเตรียมความพร้อมเช่นกัน โดยต้องใช้จ่ายรอบคอบ รัฐบาลก็ต้องมีมาตรการออกมาช่วยด้วย
“ขอให้ทุกคน ทั้งภาคธุรกิจและประชาชน ระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เพื่อให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ถ้าเทียบกับช่วงโควิด-19 ขณะนั้นเลวร้ายกว่า เพราะกิจกรรมทุกอย่างหยุดหมด ส่วนตอนนี้กิจกรรมยังพอไปได้ สำหรับผลการเจรจากับสหรัฐฯ หากลงตัวเมื่อใด ถึงจะบอกได้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ด้านนายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จีดีพีไตรมาส 1 ยังดูดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่เปรียบเสมือนถูกดาวราหูทับโลก จากการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะไทยได้รับผลกระทบในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ, แผ่นดินไหว ที่กระทบต่อการท่องเที่ยว จากเรื่องความปลอดภัย, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สินค้าจีนทุบตลาด ภาคเอกชนหวังว่า รัฐบาลจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือ โดยต้องการให้มุ่งเน้นจ้างงาน และสนับสนุนสินเชื่อภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ
ขณะที่นายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจลูกค้าขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 68 ท้าทายมาก เพราะไทยจะได้รับผลจากการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการค้า และภูมิรัฐศาสตร์ กระทบต่อการส่งออก อีกทั้งยังมีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาด ซึ่งมีผลต่อเอสเอ็มอี และบริษัทใหญ่ รวมทั้งการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอน