
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งในระดับประเทศและระดับโลก โดยเฉพาะในยุคที่ความต้องการของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงจากการใช้รถยนต์สันดาปภายใน ที่ไทยเป็นผู้นำตลาดสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น เพื่อให้ไทยยังคงรักษาความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ต่อไปได้ จึงควรต้องมีการวางกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น
ขณะเดียวกัน ต้องรักษารากฐานให้มั่นคง โดยยกตัวอย่างเช่น เร่งสนับสนุนจุดเด่นของไทย อาทิ การรักษาความสามารถการเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายในที่สำคัญของโลก การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอาเซียน อาหรับ และออสเตรเลีย นอกจากนี้ ยังต้องปรับตัวสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ปรับตัวไปสู่การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า อาทิ แบตเตอรี่ อิเล็กทรอนิกส์ควบคุม เป็นต้น
“ไทยควรมองหาโอกาสปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เป็นแนวโน้มของอนาคตด้วย เช่น อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ทำให้ความต้องการเครื่องมือแพทย์ในตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูง ซึ่งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนสามารถขยายตลาดไปสู่การผลิตเครื่องมือแพทย์ที่มีความแม่นยำในการผลิตเช่นเดียวกับชิ้นส่วนรถยนต์”
นอกจากนี้ ไทยควรมองถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยาน ที่เป็นอุตสาหกรรมใหม่ (นิว เอส-เคิร์ฟ) ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเครื่องบินทั่วโลก และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารทางอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต โดยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์สามารถปรับใช้ความชำนาญการผลิตชิ้นส่วนที่มีความละเอียดและคุณภาพสูง เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ของเครื่องบินได้