
นายสรเทพ สตีฟ ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารปี 68 สาหัสกว่าช่วงโควิด จึงขอวิงวอนนายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจรัฐบาลให้รีบออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อมาประคองสภาพเศรษฐกิจของประเทศก่อนที่จะพังไปจนไม่เหลืออะไรให้พังไปกว่านี้แล้ว โดยขอให้รัฐบาลดำเนินการต่อไปนี้ 1. รีบเอาเงินที่จะแจกรอบ 3 มาทำโครงการคนละครึ่ง 6 เดือน ให้ประชาชนเพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายด้านอาหารประจำวันและกระตุ้นกำลังซื้อให้ร้านอาหารตั้งแต่ริมทางไปถึงร้านใหญ่
2. ออกมาตรการให้ลูกค้าเก็บใบกำกับภาษีร้านอาหารนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้ในปีถัดไปซึ่งไม่ต้องใช้งบประมาณเลยแถมได้ภาษีเต็มๆ คืนเข้าคลังอีกต่อ 3. ควบคุมดูแลค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน และราคาสินค้าวัตถุดิบเพราะยิ่งเข้าหน้าแล้งราคาพืชผักจะสูงขึ้นหลายเท่าเหมือนปีที่แล้วอีก 4. ลดเงินค่าประกันสังคมให้ผู้ประกอบการครึ่งหนึ่งถึงสิ้นปี 68 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายบริษัทร้านค้า 5. เร่งวางแผนระยะสั้นในการกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้กลับมา และวางแผนระยะยาวแบบบูรณาการ 15 ปี เพื่อให้การท่องเที่ยวประเทศไทยเติบโตแบบยั่งยืน ไม่ใช่เน้นแค่จัดอีเวนต์เป็นฉากๆ ไปตามฤดูกาลงบประมาณ หวังว่านายกรัฐมนตรีจะมีทีมเศรษฐกิจที่ใช้หัวใจฟังประชาชนเพื่อให้เข้าใจความเจ็บปวดทรมานของประชาชน
ส่วนทำไมตอนนี้ถึงสาหัสกว่าเป็นเพราะช่วงโควิด รัฐบาลตอนนั้นออกมาตรการต่างๆ มาช่วยพยุง ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ประกันสังคม มาตรการภาษีที่ให้คนเก็บใบกำกับภาษีจากร้านอาหารไปลดหย่อนภาษีได้ มีการอัดเงินเข้าระบบแบบตรงจุดตรงเป้า ด้วยโครงการคนละครึ่ง มีมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน
ประกอบกับค่าไฟที่ในขณะนั้น หน่วยละ 3 บาทกว่าโดยรัฐพยายามตรึงไว้ให้ ภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนจึงทำให้อยู่ได้ รวมถึงต้นทุนของธุรกิจร้านอาหารไม่สูงเกินไปสำหรับผู้ประกอบการ มีการรักษาราคาพืชผัก สินค้าเกษตร เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ราคาไม่ได้โดดสูงมากเพื่อประคองต้นทุนครัวเรือนและธุรกิจร้านอาหารได้อานิสงส์ไปด้วยและเมื่อต้นทุนวัตถุดิบร้านอาหารไม่แพง ราคาขายก็ไม่กระทบการบริโภคของประชาชนด้วย
“การที่รัฐบาลในช่วงโควิดต้องเจอกับปัญหาต่างๆ ทั้งภายนอกภายในประเทศ แต่เพราะรัฐบาลในยุคนั้นมองปัญหาของประชาชนเป็นหลักจึงพยายามบริหารประเทศให้ข้ามผ่านไปให้ได้ จึงเป็นการตั้งใจบริหารประเทศมากกว่าบริหารการเมือง ซึ่งในช่วงปี 66-68 ชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารพยายามบอกนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาโดยตลอดว่าควรเร่งออกมาตรการช่วยเหลือแต่กลับเงียบกริบแทบไม่มีเลย”