
“ในทุกวิกฤติ มีโอกาสเสมอ” เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริง เพราะวิกฤติทำให้คนมีศักยภาพได้เจิดจรัสและยังเป็นโอกาสในการพิสูจน์ภาวะ “ผู้นำ”
เช่นเดียวกับกระทรวงการคลัง ซึ่งภายใต้ พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 กำหนดอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินของแผ่นดินภาษี อากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่ดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมาย การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐและราชการอื่น
ตลอดเส้นทาง 150 ปีในฐานะรับผิดชอบเงินแผ่นดิน ผ่านการเผชิญหน้าวิกฤติเศรษฐกิจ ตั้งแต่ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2, วิกฤติต้มยำกุ้ง, วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์, การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด และ 10 ปีล่าสุดกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่องและสงครามการค้าที่รุนแรง
กระทรวงการคลังยังคงยืนหยัด เป็นองคาพยพหนึ่งของการพัฒนาประเทศ สร้างคนทำงาน สร้างผู้นำ เป็นลมใต้ปีกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในทุกยุคสมัย
ในโอกาสครบรอบ 150 ปีกระทรวงการคลัง “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ขอนำท่านผู้อ่านไปเพลิดเพลินใจกับสาระเรื่องเล่า และการเอาชนะปัญหาจาก 4 ปลัดกระทรวงการคลัง ในช่วงมากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา เริ่มจาก ดร.อรัญ ธรรมโน ในวัย 90 ปี ปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง 20 ก.ค.2536-30 ก.ย.2538, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ในวัย 80 ปี ปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง 1 ต.ค.2538-28 ก.ค.2540
ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ วัย 70 ปี ปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง 3 มิ.ย.2552-30 ก.ย.2553 และปิดท้ายด้วย ลวรณ แสงสนิท วัย 58 ปี ปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566 เป็นต้นมา
ในช่วงของผม เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง วิกฤติต่างๆ เริ่มคลี่คลาย ทำให้การบริหารจัดการงานในกระทรวงการคลังเป็นไปอย่างสบายใจ บริหารเงินงบประมาณเกินดุล และตั้งงบประมาณลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศได้เกิน 30%ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี
ผมเข้ารับราชการครั้งแรกเมื่อปี 2497 เริ่มต้นจากกระทรวงการคลัง และย้ายไปสังกัดสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จากนั้นย้ายกลับมาทำงานกระทรวงการคลังอีกครั้ง
ตลอดอายุการทำงานในกระทรวงการคลัง ถูกโยกย้ายสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งไปประจำสังกัดต่างๆ อาทิ กรมสรรพสามิต กรมธนารักษ์ กรมศุลกากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อเรียนรู้งาน โดยเฉพาะการตั้ง สศค. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ เป็นจุดเริ่มต้นที่ยาก แต่ข้าราชการกระทรวงการคลังสมัยนั้น ร่วมมือร่วมใจทำจนสำเร็จ
“ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เป็นปลัดกระทรวงการคลัง เพราะมีแคนดิเดตหลายคน แต่คนที่เป็นแคนดิเดตเสียชีวิต เลยมีคนเสนอชื่อผม ถือเป็นการทำงานในช่วงที่ดี รัฐมนตรีเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยขอให้ทำอะไรที่ไม่ควรทำ ผมจึงทำงานได้อย่างสบายใจ”
งานในฐานะปลัดกระทรวงการคลังมีทั้งง่ายและยาก มีสำเร็จ-ไม่สำเร็จ มีเรื่องที่น่าภูมิใจหลายเรื่อง แต่เล่าไม่ได้ ที่อยากพูดถึงและพูดได้คือความประทับใจในอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถือเป็นคนที่มีคุณูปการต่อเศรษฐกิจไทยมาก
“ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ การกู้เงินมาดูแลเศรษฐกิจในประเทศ ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่ควรเพิ่มรายได้ด้วย ทุกปีกระทรวงการคลังต้องตั้งเป้าเพิ่มการจัดเก็บรายได้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพราะขณะนี้รายได้รัฐต่อ
จีดีพีถือว่าต่ำ อยู่ที่ 13-14% ของจีดีพี ต้องให้อยู่ที่ 18% ของจีดีพี จึงจะเหมาะสม รวมถึงผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตรา 5% ประเทศจะเจริญขึ้นมาก จึงขอฝากเป็นการบ้านให้ปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน”
สำหรับผม งานราชการต้องอาศัยความตั้งใจ ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นรับใช้บ้านเมือง โดยเฉพาะข้าราชการกระทรวงการคลัง เพราะเรามีหน้าที่รับผิดชอบทรัพย์สินของประเทศ ข้าราชการกระทรวงการคลังต้องมีจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพสูงกว่าคนอื่น
ยุคผมเป็นยุคต้มยำกุ้ง เงินบาทอ่อนค่าแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ รมว.คลังสมัยนั้น ปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปถึง 3 คน เพราะปัญหาค่าเงินบาท
ช่วงที่ทำงานในกระทรวงการคลัง ถูกสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งไปหลายหน่วยงาน แต่ผมเริ่มต้นการทำงานที่ สศค. ได้รับมอบหมายให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการขอเงินกู้จากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และในช่วงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ยังเป็นช่วงที่มีการอภิปรายใหญ่ในรัฐสภา ที่มีการสอบสวน สส. 10 คน ในกรณีการทุจริตรับสินบน
“ผมในฐานะอธิบดีกรมสรรพากร มีหน้าที่ตรวจสอบการเสียภาษีและเป็นวิศวกร เมื่อมีหน้าที่ไปชี้แจง ก็ชี้แจงตามความจริง แบบ 2+2 ผลลัพธ์คือ 4 เพราะมันจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้”
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้ถูกย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่ง “แขวน” ที่ไม่ค่อยมีงานทำ จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ จากนั้นถูกทาบทามให้เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วง 3 เดือนแรก กบดานอยู่ในวังบางขุนพรหม ปฏิเสธพบสื่อเพราะเป็นช่วงเรียนรู้งาน
“ผมถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ทั้งที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงินเลย ถามคน ธปท.ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าจะทำนโยบายการเงินอย่างไร ไปประชุมระดับนานาชาติ ถูกถามว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของไทยเป็นอย่างไร ซึ่งสมัยนั้นเราไม่ได้ทำเป้าหมายเงินเฟ้อ จึงต้องริเริ่มใช้นโยบายการเงิน ดูเป้าหมายเงินเฟ้อ เพื่อบริหารจัดการค่าเงินตั้งแต่นั้น”
ในที่สุดสามารถเขียนกฎหมาย เพื่อแยกบทบาทกระทรวงการคลังและ ธปท.ออกจากกัน ให้ ธปท.เป็นองค์กรอิสระ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทุกประเทศทั่วโลกทำกัน เป็นสิ่งที่ภูมิใจ กระทรวงการคลังและ ธปท.ทำงานควบคู่กันไปได้ แต่เดินคนละทาง และไม่ได้มีคนสั่งคนเดียวกันอีกต่อไป
ในช่วงรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง เป็นช่วงหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เศรษฐกิจไทยติดลบ จีดีพีปี 2552 ติดลบ 0.7% การแก้ปัญหาที่ตรงจุดขณะนั้น คือการช่วยคนตกงานก่อน ช่วงนั้นทำได้เพียงการออกนโยบายบรรเทาผลกระทบ มีการเปิดตัวโครงการเช็คช่วยชาติ แจกเงินให้ผู้ไม่มีรายได้ ผู้ประกันตน ม.33 คนละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 19,000 ล้านบาท
“สมัยนั้นยังไม่มีการลงทะเบียนคนจน ไม่มีเทคโนโลยีเชื่อมต่อข้อมูลง่ายแบบปัจจุบัน แต่เพื่อความรวดเร็วในการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จึงคิดถึงผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ม.33 ก่อน เพราะมีข้อมูลอยู่แล้ว จะได้ส่งเงินไปให้ตรงจุด ถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น”
หลังจากนั้น จึงได้ออกมาตรการเงินกู้ภายใต้โครงการ “ไทยเข้มแข็ง” วงเงิน 400,000 ล้านบาท ในช่วงนั้นมีการถกเถียงกันมาก ว่าเร่งด่วนฉุกเฉินหรือไม่ และที่สุดก็สามารถรวบรวมเงินจากงบประมาณรายจ่ายของราชการและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจมาได้ 1.9 ล้านล้านบาท
เม็ดเงินดังกล่าวถูกนำไปใช้ฟื้นฟูศักยภาพประเทศ ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น การสร้างถนน สะพาน ท่าเรือ และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม อาทิ การพัฒนาระบบสาธารณสุข การศึกษา และการปรับกฎระเบียบต่างๆ ทำให้ศักยภาพของประเทศดีขึ้น จนเศรษฐกิจปี 2553 เติบโต 7.5%
“การกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องใช้มาตรการให้ตรงเวลา ตรงกลุ่มเป้าหมาย และทำเพียงชั่วคราว แต่หลังจากนั้นจะต้องวางแผนระยะยาวเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจยั่งยืน”
สิ่งที่ภูมิใจในชีวิตราชการ นอกจากทำให้เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพส่งต่อถึงปัจจุบันแล้ว คือการปฏิรูปภาษี ที่ทำได้สำเร็จและจัดเก็บในปัจจุบัน คือ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และยังได้กระจายการจัดเก็บไปยังท้องถิ่น ผลักดันให้ตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการออมที่สามารถดูแลตัวเองได้ในยามเกษียณ
ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายการทำงานหนักหน่วงมาก เพราะเศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลก นโยบายภาษีสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ในฐานะปลัดกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไม่น้อยกว่า 3% แต่การจะบรรลุเป้าหมายนั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานด้วย รวมทั้งคำแนะนำจาก 3 อดีตปลัดกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะการเพิ่มการจัดเก็บรายได้รัฐ ให้ได้แตะ 18% ของจีดีพี เพื่อลดการขาดดุล นำไปสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในเร็วๆนี้
“การรับราชการถือเป็นความท้าทายของชีวิต ผมไม่เคยคิดอยากรับราชการ แต่เพราะคุณพ่อคุณแม่ขอร้อง เพื่อความภูมิใจของครอบครัว ตอนแรกขอทำแค่ 5 ปี แต่ก็อยู่มา 30 กว่าปีแล้วและได้เป็นปลัดกระทรวงการคลังในวันนี้”
ช่วงของการทำงาน ไม่ได้มีเรื่องท้าทายมากเช่นทุกวันนี้ แต่ก็ตั้งใจทำงานมาตลอด งานชิ้นแรกคือการเจรจาการค้าเสรีกับอาเซียนและยังได้ผลักดันกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
เวลาที่สำคัญและท้าทาย คือการขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สศค.ในปี 2563 เป็นช่วงวิกฤติโควิดแพร่ระบาดทั่วโลก มีปรากฏการณ์ปิดประเทศ ปิดกิจการ คนตกงาน รัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบของประชาชน โจทย์แรกคือช่วยคนตกงานด้วยการแจกเงิน
กระทรวงการคลังต้องกลับมาคิดและจัดทำระบบ เพื่อให้เงินถึงมือประชาชนด้วยความรวดเร็ว ความโปร่งใส ถึงมือประชาชนแบบครบทุกบาททุกสตางค์ แม้กระทรวงการคลังมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ประกันสังคม ฐานภาษี แต่การคัดกรองข้อมูลขนาดใหญ่นั้น เป็นเรื่องกดดันมาก เพราะต้องทำด้วยความรวดเร็ว
ดีที่มีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ช่วยให้การทำงานง่าย รวดเร็ว แม่นยำ จ่ายเงินตรงถึงประชาชนผ่านระบบพร้อมเพย์ นอกจากนี้ยังมีโครงการต่างๆ ที่ออกมาเยียวยาประชาชน อาทิ โครงการคนละครึ่ง ที่ได้การตอบรับเป็นอย่างดี
“ผมภูมิใจเพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ถึงมือประชาชน ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพในช่วงวิกฤติ ไม่มีการทุจริต และจากนี้ไปในสมัยของการดำรงตำแหน่ง จะเร่งทำงานพัฒนาเศรษฐกิจไทยเจริญยิ่งๆขึ้นไปให้ได้”.
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม