เมื่อศรัทธา คือทุน และพระ คือ “ผู้บริหาร” เปิดโมเดลหาเงินของ“วัดไทย”ผ่านกรณีข่าวเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง

Economics

Thai Economics

Tag

เมื่อศรัทธา คือทุน และพระ คือ “ผู้บริหาร” เปิดโมเดลหาเงินของ“วัดไทย”ผ่านกรณีข่าวเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง

Date Time: 16 พ.ค. 2568 11:04 น.

Video

อยากหาเงินเยอะ! ต้องไม่รับบทผู้บริโภค เราต้องเป็น Creator “ทอย DataRockie” l Money Secret EP.9

Summary

“สาธุ” นั้น ศรัทธา หรือธุรกิจ? จากซีรีส์ดัง ถึงข่าววัดไร่ขิง เมื่อพุทธพาณิชย์ไม่ใช่แค่เรื่องแต่ง เปิดโมเดลการหาเงินของ “วัดไทย” และ วัดกับความเสี่ยงที่จะถูกใช้เพื่อฟอกเงิน ผ่านกรณีเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พัวพันเว็บพนัน ยักยอกเงินวัด 300 ล้าน

Latest


กระแสข่าวร้อนแรงช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรือบันเทิง หากแต่เป็นข่าวที่สั่นคลอนศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างรุนแรงอีกครั้ง เมื่อเจ้าอาวาสวัดชื่อดังอย่าง "วัดไร่ขิง" จังหวัดนครปฐม มีคดีพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ ยักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท 

มีเส้นทางการเงิน โอนจากบัญชีวัด เข้าบัญชีส่วนตัว ตั้งแต่ห้วงปี 2564 และเชื่อมโยงไปยังบัญชีเครือข่ายนายหน้าเว็บพนันออนไลน์ผิดกฎหมายหลายครั้ง จนนำไปสู่การตั้งคำถามใหญ่ของสังคมไทยว่า วัดไทย สามารถหาเงินได้มากขนาดนี้เชียวหรือ? และ ทำไมพระถึงมีอำนาจจัดการทรัพย์สินจำนวนมหาศาลได้อย่างไม่มีระบบตรวจสอบ


วัดไร่ขิง รายได้ต่อปีไม่ธรรมดา ช่องว่างคือ “เงินสด”

"วัดไร่ขิง" ไม่ใช่วัดธรรมดา หากแต่เป็นวัดศูนย์กลางของศรัทธาในภาคกลาง มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อย่างหลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นที่เคารพบูชา ตลอดทั้งปี มีผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางไปกราบไหว้ ทำบุญ และร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างหนาแน่นตลอดทั้งปี 

รายได้ของวัดนอกจาก มาจากการบริจาค วัตถุมงคล งานบุญ ยังมาจากการเปิดประมูลพื้นที่วางแผงขายของ “งานวัด” “ตลาดนัด” ทำเลทองที่ใครก็อยากได้ ที่มีกระแสข่าว จากคำบอกเล่าของพ่อค้า-แม่ค้า ว่าราคา อยู่ตั้งแต่หลักหมื่น ไปจนถึง หลักล้าน “คุ้มไม่คุ้ม” ต้องมีล็อคจองที่วัดไร่ขิงไว้ก่อน 

นี่เองทำให้แต่ละปี วัดไร่ขิง มีรายได้หลักร้อยล้านบาท ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขโดยประมาณ แต่ก็เพียงพอจะทำให้เข้าใจว่า วัดในปัจจุบัน โดยเฉพาะวัดดังๆ มีศักยภาพทางการเงินไม่น้อยไปกว่าธุรกิจขนาดกลางหรือองค์กรท้องถิ่นบางแห่งเสียด้วยซ้ำ

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของภาพอันซับซ้อนของ “พุทธพาณิชย์” ที่กลายมาเป็นคำที่คนรุ่นใหม่ใช้พูดถึงระบบวัดที่ขับเคลื่อนด้วยเงินและภาพลักษณ์ความดัง มากกว่าธรรมะและการปฏิบัติธรรม 

เปิดเนื้อหาซ้อนความจริง ที่ซีรีส์ไทยเรื่อง “สาธุ (The Believers)”  เคยได้ตีแผ่เรื่องราวของ โมเดลการหาเงินจากวัด โดยกลุ่มวัยรุ่น ชาย-หญิง 3 คน ที่เปลี่ยนวัดร้างให้กลายเป็นธุรกิจศาสนาใช้การตลาดดิจิทัลและวาทกรรมเรื่องบุญมาเป็นเครื่องมือหาเงิน สะท้อนภาพจริงที่สังคมไทยเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า แรงศรัทธาอาจถูกกลุ่มคนบางกลุ่มแปรรูปให้เป็นเครื่องมือสร้างเงินและผลประโยชน์ได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ 

ย้อนกลับมาสิ่งที่เกิดขึ้นกับวัดไร่ขิงไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็น ข้อคำถาม ถึง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านการขาดระบบตรวจสอบภายในวัด การไม่แยกบัญชีเงินวัดกับเงินส่วนตัวของพระ การไม่มีมาตรฐานกลางสำหรับการรายงานรายรับรายจ่าย รวมถึงช่องว่างในกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจภายในวัดจัดการทรัพย์สินจำนวนมหาศาลได้โดยลำพังนานนับสิบปี 

อ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของกรรมการวัดรายหนึ่ง ที่ระบุกับสื่อดังล่าสุด ว่า เงินบางส่วนที่วัดเปิดประมูลพื้นที่ หายไปจากบัญชี แบบจับต้นชนปลายไม่ได้ แต่ไม่มีใครกล้าทวงถาม และรับรู้พฤติกรรมของเจ้าอาวาสคนดังมาโดยตลอด แต่ทำอะไรไม่ได้ และ ช่องว่าง คือ การรับจ่ายแบบ “เงินสด” ในหลายๆกิจกรรมของวัด เช่น ค่าประมูลแผง

วัดกับความเสี่ยงที่จะถูกใช้เพื่อฟอกเงิน

จากกรณีของเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ทุจริตยักยอกเงินวัด ก่อนหน้านี้ทีดีอาร์ไอ เคยนำเสนอรายงานฉบับย่อ “วัดกับความเสี่ยงที่จะถูกใช้เพื่อฟอกเงิน” ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนเชื่อมโยงชวนคิด ไม่ว่าจะเป็น ภาพรวมของช่องโหว่ของการใช้จ่าย “เงินวัด”  ,รายได้ของวัด ทั้งจากเงินอุดหนุนจากรัฐ และเงินทำบุญ รวมไปถึง เทียบเคียงการกำกับดูแลองค์กรศาสนาในต่างประเทศ


Thairath Money ถอดใจความบางส่วนมาให้เห็นภาพมากขึ้น ซึ่งในรายงานของทีดีอาร์ไอ ระบุไว้ ว่า “วัด” เป็นสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนให้ความสำคัญ เพราะเป็นแหล่งรวมความศรัทธาและการทำบุญ พุทธศาสนิกชนส่วนมากจึงเต็มใจบริจาคเงินเพื่อการทำบุญ ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของวัด แม้ว่าวัดจะไม่ได้มีกลไกหลักในการระดมเงิน และใช้เงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการกุศลและการศาสนาก็ตาม ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลบางกลุ่มมักใช้ความศรัทธาจากการบริจาคทำบุญเหล่านี้ เป็นช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์ ส่งผลให้วัดมีความเสี่ยงที่จะถูกใช้บังหน้าเพื่อการกระทำความผิดได้

ดังเห็นได้จากคดีที่ผ่านมา ทั้งคดีหลวงปู่เณรคำ ที่ใช้วัดบังหน้าเพื่อระดมเงินทำบุญตามความศรัทธา โดยขอรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินจากประชาชนเพื่อก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลอง และขอรับบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนการก่อสร้างโรงพยาบาลร้อยเอ็ด แต่กลับนำเงินที่รับบริจาคดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตน เช่น การซื้อที่ดิน การก่อสร้างบ้านพัก การซื้อรถยนต์ราคาแพง การใช้จ่ายที่เป็นความฟุ่มเฟือย เป็นต้น

นอกจากนี้ในช่วงปี 2561 ยังปรากฏคดีที่สะเทือนวงการพระพุทธศาสนา ได้แก่ คดี “เงินทอนวัด” หรือคดีการทุจริตเงินอุดหนุนวัดของเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยเจ้าหน้าที่สำนักงาน พศ. จะเข้าไปติดต่อเจ้าอาวาสวัดในแต่ละจังหวัดเพื่อเสนอเงินอุดหนุนให้แก่วัด

แต่ทางวัดจะต้องเขียนโครงการเสนอของบประมาณกับสำนักงาน พศ. เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการ เมื่อวัดได้รับอนุมัติเงินอุดหนุนดังกล่าวแล้วจะต้องทำการเบิกจ่ายงบประมาณ และนำส่วนหนึ่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักงาน พศ. ที่มาติดต่อเพื่อเป็นค่าสินบน ซึ่งจากคดีเงินทอนวัดดังกล่าว เป็นการทุจริตเงินอุดหนุนวัดตั้งแต่ปี 2557–2561 คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสูงถึง 270 ล้านบาท

แม้จะมีการดำเนินการกวาดล้างคดีทุจริตเงินทอนวัดไปแล้ว หากแต่สถานการณ์การใช้วัดเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดอาจมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอีก และมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นด้วย หากการกำกับดูแลการเงินของวัดมีช่องโหว่ ซึ่งจะเป็นจุดเปราะบางที่สำคัญ ที่ทำให้ “มิจฉาชีพ” ใช้เป็นช่องวางในการใช้วัด เป็นเครื่องมือกระทำความผิดได้ 

สาธุ ต้องเท่ากับ “ความดีงาม” ที่ตรวจสอบได้ 

แม้ในความเป็นจริง วัดบางแห่งอาจมีการจัดการแบบโปร่งใส มีคณะกรรมการดูแลการเงิน ตรวจสอบบัญชีประจำปี และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ แต่นั่นก็อาจเป็นส่วนน้อย ในขณะที่วัดที่มีอิทธิพล หรือมีศรัทธามหาชนหลั่งไหลจำนวนมาก มักอยู่ในพื้นที่เงามืดที่ยากต่อการตรวจสอบ และเมื่อมีเงินจำนวนมากไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงที่ผู้ดูแลจะหลุดจากหลักธรรมและเข้าสู่ความโลภจึงสูงขึ้นตามไปด้วย

ระบบที่ปล่อยให้เกิดความลักลั่นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาพร้อมกับคำถามใหญ่ ว่า พระควรมีสิทธิบริหารเงินจำนวนมหาศาลเพียงลำพังหรือไม่? และเราควรมีระบบตรวจสอบจากภายนอกที่เข้มข้นมากกว่านี้อีกหรือไม่? หรือแม้แต่คำถามที่ลึกกว่านั้นว่า สังคมควรทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างศรัทธาและเงินอีกครั้งหรือไม่? เพื่อให้ “วัด” ยังคงเป็น “วัด” ไม่ยึดโยงกับการหารายได้เป็นหลัก 

อย่างไรก็ดี ในสังคมไทยยังมีวัดและพระดีอีกมากมายที่ปฏิบัติตนตามหลักธรรมคำสอน ช่วยเหลือชุมชน เป็นที่พึ่งทางใจแก่ผู้คน และไม่ข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งหากสังคมต้องการฟื้นศรัทธาที่กำลังถูกสั่นคลอน บางทีเราอาจต้องเริ่มจากการสร้างระบบที่ทำให้วัดเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ทั้งในแง่จิตวิญญาณ และในแง่ธรรมาภิบาล

เพราะ “สาธุ” ในบริบทของซีรีส์ อาจหมายถึงการเอาศรัทธามาทำเป็นสินทรัพย์ แต่ในโลกความจริง บางทีคำว่า “สาธุ” ควรกลับมามีน้ำหนักอีกครั้ง ในฐานะเสียงที่ผู้ศรัทธามอบให้ กับความดีงามที่โปร่งใสและตรวจสอบได้อย่างแท้จริง 

อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

อุมาภรณ์ พิทักษ์

อุมาภรณ์ พิทักษ์
เศรษฐกิจ การเงิน ลงทุน และ อสังหาริมทรัพย์