นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานผู้ว่าการพบสื่อมวลชน ถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปว่า ยังมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีความกังวลใจ ทำให้ ธปท. อยากจะช่วยให้เห็นภาพไปข้างหน้าเท่าที่ทำได้ แต่ยืนยันว่าหากเทียบผลกระทบกับในช่วงโควิด 19 ช่วงวิกฤตการเงินโลก ปี 2551 หรือต้มยำกุ้ง ผลกระทบถือว่าน้อยกว่า แต่ก็ยังถือว่าครั้งนี้กระทบหนัก โดยจะเริ่มเห็นตัวเลขส่งออกที่ลดลง และผลกระทบต่อผู้ประกอบการได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ และลากยาวไปอีกระยะหนึ่ง
“หากให้ผมวาดภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไป จะเป็นรูปเหมือนกรวยปากกว้าง โดยตอนนี้อยู่ในช่วงที่รู้ตัวแล้วว่าพายุกำลังจะมา เศรษฐกิจกำลังเริ่มดิ่งลงจากการเพิ่มขึ้นของภาษีที่สหรัฐฯ เก็บทุกประเทศ 10% การชะลอการลงทุน และเศรษฐกิจจะชะลอลงต่อไปอีกระยะ ในระหว่างการเจรจาลดภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ จากนั้นเมื่อพายุมาเต็มที่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นไม่เร็วกว่าไตรมาส 4 ปีนี้ เราจะเห็นจุดต่ำสุด จากนั้นจะเป็นช่วงปรับตัว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาเป็นปีหรือมากกว่า”
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ ธปท. ห่วงในขณะนี้ มี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากส่งออกไปสหรัฐฯ สูง 2. กลุ่มที่ผลิตสินค้าขั้นกลางให้กับประเทศอื่นเพื่อนำไปผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ และกลุ่มที่ 3 กลุ่มที่เป็นห่วงมากที่สุด คือ ผู้ประกอบการที่จะต้องรับมือกับสินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามา ทำให้มาตรการของภาครัฐควรจะเจาะไปแต่ละภาคธุรกิจ เพราะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ส่งออกกับเอสเอ็มอีที่ทำสินค้าขายแข่งกับสินค้าจีนจะไม่เหมือนกัน ส่วนการใช้การกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากๆ ในช่วงที่สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศทะลักเข้ามา ต้องดูว่าผู้ผลิตไทยได้ประโยชน์แค่ไหน ซึ่งเราได้เห็นการรับฟังและการทบทวนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในขณะนี้
ส่วนคำถามถึงนโยบายเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ นายเศรษฐพุฒิ เห็นด้วยว่า การสร้างเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ จะช่วยให้เกิดการลงทุน จ้างงานและเม็ดเงินเข้าประเทศ แต่ในช่วงที่สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกกำลังจับตา แนวทางที่จะทำให้เขาไม่ปรับความน่าเชื่อถือเราลง คือการอยู่ในธรรมาภิบาลที่ดี อยู่ในกรอบของจริยธรรม ดังนั้น การทำอะไรเทาๆ ในเวลานี้อาจจะดีน้อยกว่าการเสริมจุดแข็งเช่น การหนุนธุรกิจการดูแลคนป่วย คนสูงอายุ