
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในเร็ว ๆ นี้จะเรียกประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ หลังจากได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน การนำเข้าและส่งออกทั้งหมด เพื่อนำมาปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ถือเป็นการจัดทัพเศรษฐกิจไทยใหม่ โดยจะเน้นการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มขึ้น และพึ่งพาต่างประเทศให้น้อยลง รวมถึงส่งเสริมการลงทุน การใช้สินค้าในประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งการลงทุนจะต้องสร้างงานในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
“ทุกประเทศมีปัญหา และได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ และอยู่ในช่วงสุญญากาศหมด ไม่มีใครให้คำตอบได้ และตัดสินใจอะไรได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะจบอย่างไร การปรับลดมุมมองของมูดี้ส์ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง ที่เร่งให้ไทยต้องปรับตัว ส่วนเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ในระบบ 157,000 ล้านบาท ก็ต้องพิจารณาความจำเป็นอีกครั้งว่าจะนำไปใช้ในด้านใด ขณะเดียวกันต้องหาแนวทางขยายฐานภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล รวมถึงการพิจารณาลดการขาดดุลงบประมาณด้วย ส่วนโครงการเติมเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท หรือดิจิทัลวอลเล็ต สำหรับกลุ่มอายุ 16-20 ปีนั้น ขณะนี้ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าจะเลิกหรือเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากต้องทบทวนความจำเป็นของการใช้เงิน และปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด”
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายและผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงวันวิสาขบูชาว่า เปิดเทอมปีนี้ คาดจะมีมูลค่าการใช้จ่ายสูงถึง 62,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.80% จากปี 67 ที่มีมูลค่าใช้จ่าย 60,323 ล้านบาท หรือมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่ 26,039 บาท
สำหรับมูลค่าใช้จ่ายดังกล่าว ผู้ตอบส่วนใหญ่ 45.6% บอกว่าเท่าเดิมเมื่อเทียบกับปีก่อน อีก 34.7% เพิ่มขึ้นถึงเพิ่มขึ้นมาก เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น ซื้อของมากขึ้น มีภาระหนี้น้อยลง มีจำนวนบุตรที่เข้าเรียนเพิ่มขึ้น ค่าบำรุงการศึกษาและค่าธรรมเนียมสูงขึ้น รายได้สูงขึ้น และ 19.7% บอกน้อยลง เพราะราคาของแพงขึ้นทำให้ต้องประหยัด ไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจ ขาดสภาพคล่อง มีภาระหนี้มาก รายได้ลดลง
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ 66.9% รายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และ 33.1% ไม่เพียงพอ ส่วนเงินที่นำมาใช้จ่าย มากถึง 61.9% เป็นเงินออม, 26.1% เงินเดือน และ 12.0% โบนัส/รายได้พิเศษ นอกจากนี้ 58.9% บอกว่าค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานมีส่วนทำให้ต้องก่อหนี้ โดยคิดเป็นหนี้ 10-60% ของยอดหนี้ทั้งหมด มีเพียง 41.0% ไม่มีส่วนก่อหนี้ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ยังส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา จึงต้องหารายได้เสริม ลดค่าใช้จ่ายส่วนอื่น กู้ยืมเงินเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนดีๆ ย้ายไปโรงเรียนที่ค่าเทอมถูกกว่า
ส่วนผลสำรวจการใช้จ่ายช่วงวันวิสาขบูชา พบว่าปีนี้คึกคักกว่าปีก่อน คาดมีมูลค่าใช้จ่าย 3,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.16% เทียบปี 67 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนด้านการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ 8,535 บาท, กิจกรรมทางศาสนา 1,903 บาท, ทำกิจกรรมอื่น 1,623 บาท, พักผ่อนอยู่บ้าน 722 บาท และกลับบ้านต่างจังหวัด 1,033 บาท
“จากผลสำรวจ ยังไม่พบสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยจะซึมตัวลงรุนแรง เพราะประชาชนยังใช้จ่ายด้านการศึกษาเต็มที่ และยังเดินทางท่องเที่ยว ทำกิจกรรมต่างๆ ในช่วงวันวิสาขบูชา ที่มีวันหยุดยาว อาจได้รับอานิสงส์จากกรณีที่สหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีตอบโต้คู่ค้า รวมถึงไทยออกไปอีก 90 วัน และอาจเลื่อนออกไปได้อีก ถ้าการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าต่างๆ ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน แม้เริ่มเจรจากับหลายประเทศแล้ว”
ส่วนการที่สหรัฐฯ เจรจากับจีนอย่างจริงจังที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ทำให้เห็นว่า สงครามการค้าของ 2 ประเทศเริ่มผ่อนคลายลง แต่ยังคงต้องจับตาการเจรจาของ 2 ประเทศอย่างใกล้ชิด ถ้าเจรจาได้สำเร็จ และมาตรการต่างๆ ที่จีนนำมาใช้ ทั้งลดอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคาร เพื่อเปิดช่องให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเข้าระบบได้มากขึ้น และออกมาตรการต่างๆ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศนั้น สามารถทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ 5% ในปีนี้ และหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเป็นปกติ ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย