
นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดว่า ที่ประชุมเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2568 มีมติให้มีการทบทวนแผนพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ท่าเรือกรุงเทพของการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.)จำนวน 2,353 ไร่ใหม่ โดยจะนำร่องนำพื้นที่หน้าท่าของท่าเรือกรุงเทพจำนวน 520 ไร่ มาพัฒนาเชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดประโยชน์ก่อน โดยให้กทท.เร่งว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เข้ามาศึกษาออกแบบการพัฒนาในพื้นที่ดังกล่าว โดยจะมีกรอบระยะเวลาศึกษา 10 เดือน แล้วเสร็จในกำหนดภายในเดือน พ.ค.69
โดยกทท.จะเริ่มว่าจ้างให้มีการออกแบบในเดือน พ.ค.68 ให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.69 ซึ่งรายละเอียดการศึกษาออกแบบ จะมีทั้งการพัฒนาหน้าท่าแบบสมาร์ต คอมมูนิตี้ เป็นเมืองการค้า การท่องเที่ยว เอนเตอร์เทนเม้นต์ต่างๆ โดยจะมีทั้งการพัฒนาพื้นที่ในการจัดเรียงตู้คอนเทนเนอร์ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และพัฒนาเป็นสมาร์ทพอร์ตขนส่งสินค้าแบบอัตโนมัติ, ท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สถานที่แสดงสินค้า โรงหนัง โรงละคร สวน แบบผสมผสาน เป็นต้น ก่อนที่จะเปิดประกวดราคาหาเอกชนเข้ามาดำเนินการในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน หรือ PPP (Public-Private Partnership) ส่วนกาสิโนจะยังไม่มีการพัฒนาเนื่องจากต้องรอกฎหมายก่อน “ส่วนพื้นที่ที่เหลืออีกประมาณ 1,833 ไร่ จาก 2,353 ไร่นั้น ยังคงอยู่ในแผนการพัฒนาเช่นกัน โดยต้องมีการทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่กว่า 27 ชุมชน”
นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี เพื่อปรับแผนกระตุ้นการท่องเที่ยว หลังพบตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.- เม.ย.2568) มีแนวโน้มลดลง 0.2% จึงสั่งการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ปรับแผนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 โดยใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือจากเดิมจะเสนอของบกลางปี 2568 รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อทำโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง จำนวน 1 ล้านสิทธิ์ วงเงิน 3,500 ล้านบาท จึงขอปรับว่าภายใต้วงเงินเดิมจะแบ่งมาจัดทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของตลาดต่างประเทศด้วย
น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า จะนำแผนที่ปรับใหม่นี้เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์นี้ เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป โดยงบกลางฯที่จะเสนอขอ 3,500 ล้านบาท เปรียบเสมือนบูสเตอร์ช็อต (Booster Shot) เพื่อนำมากระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติผ่าน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวไทยในช่วงโลว์ซีซันปีนี้ ซึ่งคงไม่ใช่ 1 ล้านสิทธิตามแผนเดิม 2.โครงการส่งเสริมตลาดร่วม หรือ Joint Promotion ผ่านแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เพื่อเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (F.I.T.) 3.โครงการส่งเสริมตลาดร่วมกับสายการบินในตลาดจีน “การมุ่งเน้นตลาดจีนเพราะ 4 เดือนแรก ตลาดจีนหดตัวสูงสุด 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงต้องดึงบรรยากาศความเชื่อมั่นชาวจีนกลับมา ต้องผลักดันไปถึงจำนวน 6.7 ล้านคนเท่าปี 2567”
ผู้ว่า ททท. กล่าวว่า ททท.มีแผนใช้งบการตลาดที่มีอยู่แล้ว 20 ล้านบาท ทำโครงการ “สวัสดีหนีห่าว” จัดเมกะแฟมทริปในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 เชิญผู้ประกอบการบริษัททัวร์จาก 30 มณฑลทั่วประเทศ สื่อมวลชน และผู้นำทางความคิด (KOL) อินฟลูเอนเซอร์ชาวจีน รวม 500 คน มาสร้างความมั่นใจและสำรวจสินค้าการท่องเที่ยวของไทย โดยนายกรัฐมนตรี จะมาร่วมอัปเดตข้อมูลและสร้างความเชื่อมั่นประเทศไทย ทั้งนี้ยอมรับว่าการบริหารจัดการสถานการณ์ในช่วงนี้เป็นเรื่องยากมาก ต้องเป็นระดับ G2G หรือระหว่างรัฐบาล