รายได้รัฐต่ำกว่าก่อนวิกฤติโควิด แนะลดขาดดุลระดับสูง-ลดหย่อนเท่าที่จำเป็น

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

รายได้รัฐต่ำกว่าก่อนวิกฤติโควิด แนะลดขาดดุลระดับสูง-ลดหย่อนเท่าที่จำเป็น

Date Time: 6 พ.ค. 2568 07:00 น.

Summary

  • สศค.ประเมินความเสี่ยงทางการคลัง หลังจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 แนะรัฐบาลเร่งลดขาดดุล ทบทวนมาตรการยกเว้น-ลดหย่อนให้มีเท่าที่จำเป็น ไม่เบียดบังรายจ่ายลงทุน

Latest

จากข่าววัดไร่ขิง สู่คำถาม ในแต่ละปี วัด “ทำเงิน” จากช่องทางไหนบ้าง ?

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างประเมินความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาล เพราะการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 โดยมีความเสี่ยงที่ต้องระวังและติดตาม ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลควรเร่งทยอยลดการขาดดุลในระดับสูงอย่างจริงจัง เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ทางการคลังสำหรับรองรับสังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง รวมถึงวิกฤติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ สัดส่วนจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 67 อยู่ที่ 15.06% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติ

สำหรับมุมมองความเสี่ยงในอนาคต อาจมีปัจจัยกดดันจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดรถยนต์ รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงกว่าที่ประมาณการไว้ สำหรับความเสี่ยงด้านรายจ่าย ยังคงมีปัจจัยกดดันจากรายจ่ายเพื่อชำระหนี้และภาระผูกพัน และรายจ่ายด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง รายจ่ายชำระดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ส่งผลให้รายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนเพิ่มขึ้นเป็น 11.40% จากปีงบประมาณ 66

ส่วนความเสี่ยงด้านหนี้ มีปัจจัยกดดันจากหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงและความสามารถชำระหนี้ที่ลดลงเมื่อเทียบช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 ในส่วนของภาระดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐบาลในปีงบ 67 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9.59% สะท้อนถึงความสามารถชำระหนี้ลดลง เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยและระดับหนี้คงค้างที่เพิ่มขึ้น ความพยายามยืดอายุหนี้ของรัฐบาล ในขณะที่ความสามารถจัดเก็บรายได้ขยายตัวในระดับต่ำ

ขณะที่มุมมองความเสี่ยงด้านหนี้ระยะปานกลาง จะมีความเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ 69.32% ณ สิ้นปีงบ 72 ตามระดับการขาดดุลงบประมาณที่ยังสูงต่อเนื่อง กดดันให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.37%ต่อปี สูงกว่าปัจจัยบวกเชิงโครงสร้างจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยให้สัดส่วนหนี้ลดลงเฉลี่ย 2.70% ต่อปี และดัชนีเตือนภัยทางการคลัง ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 67 มีค่า 3.36 จากระดับขีดเตือนภัยที่มีค่า 5 ถือว่า ส่งสัญญาณให้รัฐบาลระวังดำเนินนโยบายขาดดุลระดับสูงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 14 ติดต่อกัน

นอกจากนี้ สภาพคล่องในปีงบ 68 อาจมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติม อาทิ หากจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ รัฐบาลมีกรอบกู้กรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ รองรับจัดเก็บรายได้ต่ำได้เพียง 0.17% หรือ 4,920 ล้านบาท รวมถึงอาจมีรายจ่ายที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอและต้องเบิกใช้จากเงินคงคลังในระดับสูง ซึ่งความเสี่ยงต่างๆ นี้ อาจกดดันต่อการบริหารสภาพคล่องในอนาคต

ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ รัฐบาลควรเร่งลดระดับการขาดดุลกลับสู่ระดับปกติที่ไม่เกิน 3% ของจีดีพี จากปีงบ 68 ที่ขาดดุล 4.4% เพื่อฟื้นฟูพื้นที่การคลังรองรับวิกฤติ ส่วนผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในอนาคต รัฐบาลต้องปฏิรูปโครงสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ทบทวนมาตรการยกเว้น/ลดหย่อนต่างๆ ให้มีเท่าที่จำเป็น เพื่อให้จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เพียงพอ ไม่เบียดบังรายจ่ายลงทุน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศในระยะยาว


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ