
พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช. ในฐานะประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีและความมั่นคงของรัฐ เปิดเผยเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2568 หลังการประชุมเพื่อหารือแนวทางที่เหมาะสมในการกำหนดมาตรฐานหรือมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สอดรับกับ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา ระบุ ที่ประชุมได้หารือถึงการเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบอย่างจริงจัง ของผู้ประกอบการมือถือ (โอเปอเรเตอร์) ในการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยผู้ประกอบการทุกรายต้องมีหน้าที่ตามมาตรการต่างๆ ที่กำหนด ได้แก่ 1. ตรวจสอบคัดกรองผู้ใช้บริการที่มีลักษณะที่ผิดปกติ แล้วระงับการใช้ทันที (เช่น โทรออกอย่างเดียว, โทรหาผู้รับที่ไม่ซ้ำ, โทรเป็นจำนวนมาก, โทรออกจากตำแหน่งเดียวกันทุกครั้ง หรือโทรจากพื้นที่แนวชายแดน)
2. ผู้ให้บริการจะต้องระงับการใช้ทันที ที่ได้รับการแจ้งจาก กสทช. ว่าเป็นเบอร์ที่ต้องสงสัย 3. ผู้ให้บริการมีหน้าที่ตรวจสอบย้อนกลับเบอร์ที่จดทะเบียนใหม่ภายในสัปดาห์แรกว่า ข้อมูลที่รับจดทะเบียนถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ 4. ผู้ประกอบการมีหน้าที่ตรวจสอบเอสเอ็มเอสและลิงก์แนบก่อนจัดส่ง 5. ผู้ประกอบการต้องไม่ให้ซิมบ็อกซ์ (Sim box) ที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือซิมบ็อกซ์ผี เชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม
6. เน้นย้ำการปฏิบัติตามมาตรการบริหารจัดการซิมการ์ดสำหรับคนต่างชาติ ที่ออกไปก่อนหน้านี้ โดยการจำกัดจำนวนการลงทะเบียน ไม่เกิน 3 ซิมการ์ดต่อคนต่อผู้ให้บริการมือถือ และกำหนดให้ใช้พาสปอร์ตในการยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนใช้ซิมการ์ดเท่านั้น โดยไม่อนุญาตให้ใช้เอกสารประเภทอื่น 7. เน้นย้ำมาตรการซิมนักท่องเที่ยว (Tourist SIM) ให้ใช้งานได้ไม่เกิน 60 วัน โดยไม่สามารถเติมเงินเพื่อขยายระยะเวลาการใช้งานได้ และกรณีผู้ใช้บริการต้องการใช้งานซิมต่อ หลังครบกำหนดระยะเวลาใช้งาน จะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนกับโอเปอเรเตอร์อีกครั้งหนึ่งก่อน จึงจะขยายระยะเวลาการใช้งานได้
“ทั้งนี้ หากพบว่าโอเปอเรเตอร์ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด หากเกิดความเสียหาย อาจจำเป็นต้องร่วมชดใช้ให้กับเหยื่อ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 8/10 ภายใต้ พ.ร.ก. ฉบับใหม่ที่กำหนดให้ สถาบันการเงิน โอเปอเรเตอร์ และโซเชียลมีเดีย ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเหยื่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี”