
นายสักกะภพ พันธยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องจากครั้งก่อนหน้านั้น มีผลมาจาก 3 ด้านคือ 1.แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้า (Outlook) มีทิศทางแย่ลงมากกว่าการประชุมครั้งก่อน 2.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการค้าโลก จากผลกระทบของสงครามการค้า และการขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง และ 3.แผลของสงครามการค้าจะอยู่กับเราไปอีกยาว และในระยะต่อไปสหรัฐฯ อาจจะมีมาตรการใหม่ๆ เช่น ด้านการเงิน หรือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอีก เพราะสหรัฐฯ ต้องการปรับสมดุลการค้าของประเทศ
ทั้งนี้ หลังจากที่ กนง.ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยลง คำถามที่ได้รับมากที่สุด คือ ภาพของเศรษฐกิจไทยจากนี้จะเป็นอย่างไร นายสักกะภพ กล่าวว่า เนื่องจากความผันผวนที่สูงมาก สถานการณ์โลกและอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา รัฐบาลไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ที่ประกาศเก็บเพิ่มจากไทยสูงถึง 36% กนง.จึงให้ ธปท.ไปทำสถานการณ์จำลองที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งเราทำประมาณ 5 กรณี แต่หลังพิจารณาแล้ว มีโอกาส 70-80% ที่จะเกิด 2 กรณีนี้มากที่สุด และจะเริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจนตั้งแต่เดือนมิ.ย.เป็นต้นไป
กรณีแรก “กรณีอ้างอิง” สหรัฐฯ ชะลอการเก็บภาษีตอบโต้ แต่ยังเก็บภาษีกับทุกประเทศที่ 10% เหมือนในขณะนี้ไปเรื่อยๆ สหรัฐฯ และจีนเจรจากันได้ลดภาษีลงอยู่ที่ 5% ซึ่งกรณีนี้จะใกล้เคียงกับภาพที่ประธานาธิบดีทรัมป์หาเสียงเอาไว้ กรณีนี้จะกระทบการส่งออกของไทยใน 4 ไตรมาสข้างหน้า (ไตรมาส 3 ปี 68 ถึงไตรมาส 2 ปี 69) ให้ปรับลดลง 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ส่งออกปีนี้ขยายตัว 0.8% ปีหน้าหดตัว 2.8% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนที่จะชะลอลงด้วย โดยคาดว่าปีนี้จะติดลบ 1% เศรษฐกิจไทยทั้งปีจะขยายตัว 2% เงินเฟ้อลดลงมาที่ 0.5%ส่วนกรณีที่ 2 คือ “กรณีที่สหรัฐเก็บภาษีตอบโต้” โดยมีสมมติฐานว่า ทุกประเทศได้เจรจากับสหรัฐฯ และลดอัตราภาษีที่จะเก็บลงได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งของไทยจะอยู่ที่ 18% บวกของเดิม 1.7% ขณะที่จีนจะถูกเก็บที่ 70% กรณีนี้ส่งออกไทย 4 ไตรมาสข้างหน้าจะติดลบ 8% ซึ่งจะมากกว่าช่วงโควิดที่ติดลบ 6% ส่งผลให้การส่งออกปีนี้ติดลบ 1.3% ปีหน้าติดลบ 8% การลงทุนภาคเอกชนปีนี้ติดลบ 4.7% ทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวต่ำที่ 1.3% เงินเฟ้อลดลงมากที่ 0.2%
“หากให้เลือกผมมองว่ากรณีแรกจะเกิดขึ้นได้มากกว่ากรณีที่สอง เพราะการคงภาษีนำเข้าสูงมากๆ สหรัฐฯ เองก็จะแย่ เพราะตามกรณีที่ 2 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็อาจจะถูกเก็บมากกว่า 10% ก็ได้ ซึ่งผลกระทบจะมากกว่ากรณีแรกบ้าง หรือโดนมากกว่า 20% ก็ได้ ซึ่งต้องเทียบกับคู่แข่งด้วยว่า เขาโดนภาษีเท่าไร อย่างไรก็ตาม แม้ในกรณีเลวร้ายที่ ธปท.ทำไว้ เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจจะโตต่ำมากๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นโตติดลบ”
.ป้องกันไทยไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด
ทั้งนี้ หากเป็นไปตามกรณีแรก เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะซึมๆ ฟื้นตัวช้าๆ ต่อเนื่อง โดยภาคส่งออกไปสหรัฐฯ และภาคที่เกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบหนักที่สุด แรงงานส่วนนี้อาจจะตกงานเพิ่มขึ้นบ้าง และจะมีผลกระทบจากการสินค้านำเข้าราคาถูกที่จะเข้ามาแย่งตลาดผู้ประกอบการไทยมากขึ้น ขณะที่กรณีที่ 2 ผลกระทบจะมีมากกว่า “เงินเฟ้อที่ต่ำในขณะนี้ มาจากฝั่งราคาสินค้าที่ลดลง เช่น ราคาพลังงาน การตรึงค่าไฟของรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธปท.ไม่เป็นห่วง แต่สิ่งที่กำลังจับตา คือ ความผันผวนของเงินเฟ้อ เช่น เงินเฟ้อโลกที่เพิ่มขึ้นจะกระทบให้เงินเฟ้อไทยช่วงต่อไปเพิ่มขึ้น หรือที่น่าเป็นห่วงกว่า คือเศรษฐกิจที่ชะลอลงมากจะกดให้เงินเฟ้อต่ำลง ในรอบที่ 2 จากฝั่งกำลังซื้อของคนไทยที่ลดลง ทำให้ ธปท.จับตาการเกิดภาวะเงินฝืดของไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น และจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต”
นายสักกะภพ กล่าวต่อว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในครั้งนี้ ให้น้ำหนักกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลง ในขณะที่เงินเฟ้อที่ต่ำช่วยให้เราลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า จากนี้ดอกเบี้ยไทยจะลดลงเรื่อยๆ เพราะทุกครั้งที่ กนง.ลดดอกเบี้ยจะต้องการให้เกิดประสิทธิภาพกับเศรษฐกิจสูงสุด จึงจะลดลงในเวลาที่เหมาะสมในช่วงที่เศรษฐกิจมีความจำเป็นมากที่สุด นอกจากนั้น หากมองพื้นที่ของนโยบายการเงิน (Policy space) ในขณะนี้เรามีจำกัด จึงเป็นสาเหตุให้ กนง. 2 ท่านตัดสินใจไม่ลดดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ เพราะอยากรอผลกระทบที่ชัดเจนกว่านี้ก่อน
.ดูแลระบบการเงินให้ทำงานปกติ
ส่วนนอกเหนือจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ธปท. นายสักกะภพ กล่าวว่า หน้าที่หลักของธปท.คือ การดูแลให้ระบบการเงินของไทยทำงานได้ตามปกติ ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ผลตอบแทนพันธบัตร ให้เป็นไปตามพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย โดยธปท.สามารถเข้าไปดูแลค่าเงินบาท และตลาดพันธบัตรได้ หากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศสร้างความผันผวนที่มากเกินไป เร็วเกินไป หรือบิดเบือนตลาด ขณะเดียวกัน ธปท.กำลังติดตามฐานะการเงินของธุรกิจขนาดใหญ่ และเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปสหรัฐฯ และการถูกแย่งตลาดจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ประสานกับทั้งกับธนาคารพาณิชย์ และภาครัฐ เช่น สภาพัฒน์ฯ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาให้ตรงจุดที่สุด โดยธนาคารพาณิชย์ จะดูแลลูกหนี้ของตัวเองไม่ให้กลายเป็นหนี้เสีย ทั้งการช่วยเหลือให้ความรู้ รวมทั้งวงเงินสินเชื่อลดผลกระทบ และสินเชื่อเพื่อปรับตัวในระยะยาว ส่วนภาครัฐ นอกจากจะเร่งเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้ให้เร็วแล้ว ควรใช้โอกาสนี้แก้ปัญหาสินค้าราคาถูก ตรวจสอบกำหนดมาตรฐานสินค้า และการสวมสิทธิ์ผู้ประกอบการไทย ซึ่งทำได้ทันที และจะช่วยลดผลกระทบจากสินค้าที่จะทะลักเข้ามาแข่งกับผู้ประกอบการไทยในอนาคต “ไม่อยากให้มองสถานการณ์นี้เลวร้ายเกินไป เพราะหากเทียบผลกระทบช่วงโควิดขณะนี้ยังต่ำกว่า อยากให้ทุกฝ่ายเห็นเป็นช่วงเวลาที่ผลักดันให้เราต้องปรับตัวให้เร็วขึ้น และเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยไปในทางที่ดีขึ้น”