เปิดภาพภาคผลิต-ส่งออก-ท่องเที่ยว-อสังหาฯ เศรษฐกิจไทยเดือดหลังสงกรานต์

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เปิดภาพภาคผลิต-ส่งออก-ท่องเที่ยว-อสังหาฯ เศรษฐกิจไทยเดือดหลังสงกรานต์

Date Time: 28 เม.ย. 2568 05:25 น.

Summary

  • “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ผู้ประกอบการในภาคการผลิต และการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อเป็นหนทางในการประคับประคองเศรษฐกิจ และเพื่อให้คนไทยรวมถึงภาคธุรกิจไทยมีทางออกในการใช้ชีวิตต่อไปในปี 2568 นี้

Latest

เตรียมใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู "ส่วนต่อขยาย" เข้าเมืองทอง ฟรี 20 พ.ค.-16 มิ.ย.นี้

หลังจากช่วงวันหยุดยาวที่เราได้ไปท่องเที่ยวพักผ่อน กลับบ้านไปพักใจ ฉลองเทศกาลปีใหม่ไทย ถึงเวลาที่จะต้องกลับมาสู้กันใหม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ผันผวนรุนแรงกว่าในช่วงก่อนหน้า จาก 2 เหตุการณ์ที่คนไทยไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า

ทั้งจากผลกระทบของการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 8.2 จาก รอยเลื่อนสะกาย ประเทศเมียนมา ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพ มหานคร และส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่มครืนลงมาในเวลาไม่กี่นาที ขณะเดียวกันภาพของการสั่นไหวรุนแรงของอาคารสูงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งการแตกร้าวของผนังในหลายๆอาคาร สร้างความไม่มั่นใจของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม

นอกจากนั้นยังไปซ้ำเติมความกังวลของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ถึงความปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยลดลงทันทีจำนวนมาก

ขณะที่อีกสถานการณ์ที่ซัดเศรษฐกิจไทยจนหงายหลัง คือ การเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บจากไทยสูงถึง 36% ซึ่งสูงกว่าที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ไว้ที่ 10% อย่างมาก และหากเราไม่สามารถเจรจาปรับลดอัตราภาษีนี้ลงมาได้ในระดับที่เหมาะสม ภาคการค้า การผลิตในประเทศ และการส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมาก รวมทั้งอาจมีแรงงานที่จะต้องตกงานเพิ่มขึ้น

เพื่อให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยหลังสงกรานต์ และข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ผู้ประกอบการในภาคการผลิต และการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อเป็นหนทางในการประคับประคองเศรษฐกิจ และเพื่อให้คนไทยรวมถึงภาคธุรกิจไทยมีทางออกในการใช้ชีวิตต่อไปในปี 2568 นี้

พจน์ อร่ามวัฒนานนท์
ประธานกรรมการหอการค้าไทย

นายพจน์มองภาพเศรษฐกิจไทย โดยตอกย้ำถึงความไม่แน่นอน และคาดการณ์ได้ยาก โดยแม้บรรยากาศท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์จะประสบความสำเร็จมาก เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ แต่หอการค้าไทยยังมองว่า ไม่ได้สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในทางที่ดีมากนัก และไม่สามารถไว้วางใจได้

เพราะยังมีความเสี่ยงอย่างมากจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ 2.0 ที่มีความผันผวนรุนแรง และส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกและไทย เนื่องจากนโยบายสหรัฐฯยังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ดีมานด์และซัพพลายโลกผันผวนมาก

“ไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเจรจาที่ “ทีมไทยแลนด์” ยังไม่ได้นัดหมายเวลาใหม่ ซึ่งต้องดูว่าจะได้ในช่วงไหนและข้อเสนอต่างๆของไทยจะได้รับการตอบสนองจนนำมาสู่การผ่อนปรนภาษีได้มากน้อยแค่ไหน เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ”

แม้การส่งออกไทยล่าสุดเดือน มี.ค.มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 29,548.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 17.8% และไตรมาสแรก 81,532.3 ล้านเหรียญ ขยายตัวถึง 15.2% แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการสั่งซื้อเพื่อกักตุนสินค้า (stock up) ล่วงหน้า ก่อนมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯจะมีผลบังคับใช้

“เราจึงต้องจับตาตัวเลขส่งออกในเดือน เม.ย. และตลอดไตรมาส 2 อย่างใกล้ชิดว่าจะยังรักษาระดับการเติบโตได้หรือไม่ เพราะหากไม่เป็นไปตามแนวโน้มเดิม ก็อาจสะท้อนสัญญาณชะลอตัวที่แท้จริงของตลาดโลก ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกของไทย รวมทั้งเศรษฐกิจภาพรวมของไทยได้”

ในขณะเดียวกันกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เหลือ 1.8% จากเดิม 2.9% และย้ำให้เห็นถึงปัจจัยเปราะบางภายใน ทั้งหนี้ครัวเรือนระดับสูง, การบริโภคที่ยังฟื้นไม่เต็มที่, การส่งออกที่ยังเสี่ยงจากภายนอก อีกทั้งยังมีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงถึงกว่า 90% ของ GDP จึงเลี่ยงไม่ได้ที่รัฐบาลจะต้องทบทวนนโยบายเศรษฐกิจอย่างจริงจังและเด็ดขาด

“วันนี้หากจะต้องประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 เป็นเรื่องยากและไม่สามารถใช้สูตรเดิมได้อีก เพราะเรากำลังเผชิญกับความผันผวนในระดับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจโลก ที่เปลี่ยนเร็วและแรงกว่าทุกยุค”

ทั้งนี้ หอการค้าไทยมีข้อเสนอใน 5 เรื่อง 1.จำเป็นมากที่จะต้องปรับท่าทีการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไทยต้องกล้าเสนอเงื่อนไขใหม่กับสหรัฐฯ โดยอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร อาหารทะเล พลังงานจากสหรัฐฯ รวมถึงพิจารณาสั่งซื้ออากาศยาน เพื่อสร้างความสมดุลทางการค้ามากขึ้น พร้อมกับเจรจาเปิดตลาดสินค้าไทยในกลุ่มที่เรามีความได้เปรียบ เช่น อาหารแปรรูป เป็นต้น 2.ขอให้รัฐบาลตั้งทีมประเทศไทยโดยด่วน ไม่ใช่แก้ปัญหาสหรัฐฯอย่างเดียว แต่เป็นทีมที่รับมือกับ Global Trade ที่มีปัญหารุนแรงในขณะนี้ โดยต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วย

3.เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) และขยายตลาดใหม่ในแอฟริกาและอินเดีย เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดดั้งเดิมผันผวนสูง 4.ฟื้นกำลังซื้อภาคประชาชน ด้วยมาตรการลดภาระหนี้ เช่น รีไฟแนนซ์อัตราดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้เฉพาะกลุ่ม พร้อมสนับสนุนมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภค 5.ดูแลค่าเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่แข็งค่าจนเกินไป เพื่อให้ภาคการส่งออกมีขีดความสามารถในการแข่งขัน

“มั่นใจว่าความร่วมมือ และการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเข้มข้นและใกล้ชิดจะทำให้สามารถรับมือกับวิกฤติที่เกิดขึ้น และทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่องได้”

อิสระ บุญยัง
ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายอิสระแสดงความห่วงใยถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทยที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ โดยให้ความเห็นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสติดลบ หากสหรัฐฯยังปรับขึ้นภาษีไทยที่ 36% จริง เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐฯสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับส่งออกไปภูมิภาคอื่น และยังเผชิญปัญหาคู่แข่งสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษีต่ำกว่า จึงมีศักยภาพการแข่งขันเหนือกว่า รวมทั้งไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรจำนวนมากจากสหรัฐฯ

ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ ย้อนไปในปี 67 พบว่า สถานการณ์แย่ที่สุดในรอบ 5-6 ปี แม้แต่ช่วงโควิดยังดีกว่า ขณะที่มองภาพปี 68 ไม่มีโอกาสเติบโตแน่นอน ทำได้เพียงประคับประคองสถานการณ์เท่านั้น แม้ปีนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้น ทั้งลดค่าโอนและค่าจดจำนองที่อยู่อาศัยเหลือ 0.01% สำหรับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท และผ่อนเกณฑ์มาตรการ LTV แต่ถือว่าช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งดีกว่าไม่มีมาตรการใดๆเลย

“สาเหตุหลักที่กระทบภาคอสังหาฯ มาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จนทำให้โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงาน สตง. 30 ชั้น ถล่มลงมา ซึ่งเป็นตัวซ้ำเติมสถานการณ์ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมหายไปหมดในช่วงแรกๆ แต่เชื่อว่าน่าจะค่อยๆดีขึ้น เพราะอาคารสูงๆในไทยมีมากกว่า 1,000 แห่ง ไม่มีปัญหา ไม่เสียหาย มีปัญหาเพียงส่วนหนึ่ง แต่เราเข้าใจความกังวลของผู้ซื้อและผู้อยู่อาศัยที่ชะลอการซื้อและการโอน”

ดังนั้น จึงเชื่อว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะไม่เติบโตเพิ่มขึ้น แค่ประคับประคองได้ ก็ถือว่าดีแล้ว แต่จุดหนึ่งเมื่อยอดซื้อชะลอลง ก็จะกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้

“เมื่อธุรกิจนี้มีปัญหาจะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งอิฐ หิน ปูน ทราย เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ไฟฟ้า ประปา เพราะการซื้อบ้าน 1 หลัง ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ผลกระทบจะลามไปทุกเรื่องที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ที่ผ่านมาได้ขอรัฐบาลช่วย และมีมาตรการออกมาแล้ว ทำให้มองว่าน่าจะประคับประคองไปได้ แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนแผ่นดินไหว”

ส่วนแนวทางที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงต่อไป เมื่อเศรษฐกิจไทยชะลอตัว นายอิสระเชื่อว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย และในส่วนตัวมองว่า น่าจะถึงเวลาพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยได้แล้ว เพราะการลดดอกเบี้ย ช่วยลดภาระทางการเงินได้ถึง 3 ฝ่าย ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1.ผู้มีหนี้สินอยู่แล้ว ทั้งหนี้ครัวเรือน หรือหนี้ธุรกิจ เมื่อดอกเบี้ยลด ต้นทุนทางการเงินจะลดลงตามทันที 2.กลุ่มที่ต้องการยื่นขอสินเชื่อใหม่ เชื่อว่าจะเกิดขึ้น แม้สถาบันการเงินเข้มงวด แต่จะมีผู้ยื่นขอกู้แน่นอน เพราะดอกเบี้ยถูกลง ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้

และ 3.กลุ่มต้องแก้หนี้ ที่ติดหนี้มาตั้งแต่โควิด-19 รัฐบาลพยายามแก้หนี้ให้มาตลอด หากแก้หนี้เสียได้ หรือปรับโครงสร้างหนี้ได้ จะก่อให้เกิดการจับจ่ายใหม่ได้ แต่หากแก้ไขหนี้ไม่ได้ จะไม่มีเม็ดเงินใหม่มาจับจ่ายใช้สอยเลย

“มาตรการแก้หนี้ของรัฐบาลถือเป็นมิติที่ดี ที่รัฐบาลช่วยแก้หนี้ให้ประชาชน เพราะถ้าหนี้ยังอยู่ครบเหมือนเดิม ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข และถ้าได้รับการแก้หนี้ ดอกเบี้ยลดลงอีก ถือเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจมากด้วย”

ธนพล ชีวรัตนพร
นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)

นายธนพลได้แสดงความเป็นห่วงต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้เช่นกัน เพราะการที่สหรัฐฯมีมาตรการภาษีตอบโต้ประเทศต่างๆทั่วโลก รวมทั้งไทย ทำให้มีความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก

“เศรษฐกิจไทยปีนี้ ที่หวังจะพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวก็ลำบากแล้ว ผมว่าแค่รักษาไม่ให้แย่กว่านี้ก็ลำบาก เมื่อนักท่องเที่ยวไม่มา ก็ยิ่งแย่กว่าเก่า ผมไปสำรวจโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว รถโดยสารนำเที่ยว ร้านอาหาร ทุกภาคส่วนในธุรกิจท่องเที่ยว บอกว่าตอนนี้ธุรกิจไม่ดี ไม่ไหวจริงๆ”

โดยเฉพาะยิ่งสิ้นสุดเทศกาลสงกรานต์ที่เป็นปีใหม่ไทย ภาวะท่องเที่ยวตกท้องช้าง เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซัน หรือนอกฤดูท่องเที่ยว ที่ในปีนี้ไม่สามารถหาตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนมาเสริมได้เลย เพราะชาวจีนยังกลัว และไม่เชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยเมื่อมาเที่ยวประเทศไทย ทำให้ตลาดจีนเที่ยวไทยตอนนี้ เหมือนอยู่ “ห้องไอซียู” ต้องเร่งรักษา เพราะอาการหนักมาก

โดยคาดการณ์ว่า ปี 2568 จะมีชาวจีนไปท่องเที่ยวต่างประเทศ 155 ล้านคน เทียบเท่าปี 2562 ก่อนโควิด–19 ระบาด ซึ่งเป็นปีทองของตลาดนักท่องเที่ยวจีน ที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด 11 ล้านคน แต่ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยมาเพียง 1.33 ล้านคน ตลอด ปีนี้อาจมาไทยไม่ถึง 6 ล้านคน ต่ำกว่าปีก่อนที่มี 6.7 ล้านคนเสียอีก

“ขนาดขายทัวร์ไฟไหม้ ลดราคาพิเศษแล้ว คนจีนก็ยังไม่มาเที่ยวไทย แม้ว่านักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลจะมาไทยเพิ่มขึ้น แต่ดูจากจำนวนแล้ว ทดแทนตลาดจีนไม่ได้ รัฐบาลไม่ควรทิ้งตลาดนักท่องเที่ยวจีน เพราะจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ตลาดระยะไกลมีการใช้จ่ายสูง เช่น นักท่องเที่ยวยุโรป นิยมนอนพักผ่อนตามชายทะเล และอยู่แต่ในโรงแรมมากกว่า ถามว่าพักโรงแรม 5 ดาวทุกคนหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจีน ที่มีกิจกรรมเยอะ ชอบการช็อปปิ้ง ความพยายามดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา จะฟื้นท่องเที่ยวได้”

ทั้งนี้ แอตต้าได้เสนอวิธีแก้ปัญหาให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปแล้ว และต้องการพบกับรัฐบาลเพื่ออธิบายให้เข้าใจวิธีการแก้ปัญหา โดยเสนอ 2 โครงการ คือ โครงการแรกสนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) วงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จาก 20 เมืองรองในจีน จำนวน 1,000 เที่ยวบิน ด้วยการให้เงินสนับสนุน 350,000-450,000 บาทต่อเที่ยวบิน แต่ต้องขนผู้โดยสารมาไม่น้อยกว่า 150 คนต่อเที่ยวบิน เป็นการอุดหนุนคนละ 2,000 บาท คิดเป็นจำนวน 150,000 คนในช่วง 3 เดือน มีเงื่อนไข ต้องพักในไทยไม่น้อยกว่า 4-5 คืน มีเป้าหมายให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ช่วยสร้างความมั่นใจกับชาวจีนว่ามาเที่ยวไทยแล้วปลอดภัย

ส่วนอีกโครงการเป็น Mega Fam Trip วงเงิน 20 ล้านบาท เชิญเอเย่นต์ทัวร์จีน 300 คน สื่อมวลชน และอินฟลูเอนเซอร์จีนอีก 100 คน เพื่อมาสำรวจบรรยากาศและสินค้าการท่องเที่ยวในไทย เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น โดยให้ผู้ประกอบการและสื่อมวลชนได้เผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ชาวจีนรับรู้ สร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยปลอดภัย

“งานนี้ขอให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาร่วม สร้างความมั่นใจ และตอกย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจีนจริงๆ”.


ทีมเศรษฐกิจ

อ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ