
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.ได้สำรวจความเห็นของผู้ส่งออกที่เป็นสมาชิกและหารือกับอุตสาหกรรมส่งออก เกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9-22 เม.ย. 68 พบว่า ผู้ส่งออกบางกลุ่มยังไม่ได้รับผลกระทบ, บางกลุ่มได้รับผลกระทบทางบวก อาทิ คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น เร่งรัดการส่งมอบสินค้าให้เร็วขึ้น และบางกลุ่มได้รับผลกระทบทางลบ เช่น คำสั่งซื้อสินค้าลดลง ยกเลิกคำสั่งซื้อ และลูกค้าผลักภาระต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้ส่งออก เป็นต้น
โดยผู้ส่งออกไทยมีวิธีรับมือ คือ เจรจาลูกค้าเพื่อแบ่งความรับผิดชอบต่อภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น ทั้งลดราคาสินค้ากรณีลูกค้าเป็นผู้ชำระค่าภาษี และขอขึ้นราคาสินค้ากรณีผู้ส่งออกไทยเป็นผู้ชำระภาษี, การชะลอรับคำสั่งซื้อเพื่อดูสถานการณ์ เพราะกำไรไม่เพียงพอต่อการจ่ายหรือการช่วยจ่ายภาษีให้กับลูกค้า, การหาตลาดอื่นทดแทน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้ถามถึงแนวทางการเจรจาของไทยกับสหรัฐฯ ที่จะให้ไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางรายการ หรือยังไม่เคยนำเข้านั้น ผู้ส่งออกกว่า 88.9% ระบุไม่มีการลงทุน และไม่มีแผนลงทุนในสหรัฐฯ เพราะต้นทุนสูง และ 11.1% มีบริษัทแม่หรือบริษัทในเครือตั้งอยู่ในสหรัฐฯ แล้ว ขณะที่มีเพียง 31.6% ที่นำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น ถั่วเหลือง เครื่องจักรและอุปกรณ์ เม็ดพลาสติก วัตถุดิบอาหารสัตว์ เป็นต้น ส่วนที่เหลือนำเข้าจากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่า และใช้วัตถุดิบภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม สรท.ขอให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Reciprocal Tariff ที่อาจทะลักเข้าไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น เครื่องเล่นเกม ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ภาชนะบนโต๊ะอาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติก เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน รถโดยสาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้า เป็นต้น
ทั้งนี้ สรท.ขอให้รัฐบาลหามาตรการป้องกันการนำเข้าและการลงทุนผลิตในประเทศ ดังนี้ 1. ออกมาตรการต้านการนำเข้าสินค้าด้อยคุณภาพ โดยกำกับดูแลตั้งแต่ประเทศต้นทาง เช่น สินค้าและโรงงานต้องได้รับรองมาตรฐานของไทย ผู้ส่งออกที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องระบุ ID Number ให้ชัดเจน ตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% เพื่อป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพเข้าประเทศ ตรวจสอบสินค้าผ่าน Free zone 100% เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ส่งออก
2. ออกมาตรการต้านการลงทุนศูนย์เหรียญ เช่น ทบทวนสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำหรับการลงทุนใหม่, ใช้วัตถุดิบภายในประเทศไม่น้อยกว่า 40% เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศ ฯลฯ และ 3. ออกมาตรการส่งเสริมค้าระหว่างประเทศ โดยต้องอัดฉีดงบประมาณสำหรับจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และงบสนับสนุนด้านการตลาดแก่ภาคเอกชน เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในสายตาคู่ค้าและผู้บริโภคในตลาดโลก
“คาดว่า ไตรมาส 2 ตัวเลขส่งออกของไทยน่าจะยังดีอยู่ แต่ในครึ่งปีหลัง คำสั่งซื้อจะลดฮวบฮาบ เพราะผู้นำเข้าได้เก็บสต๊อกไว้แล้วจำนวนมาก แต่จนถึงขณะนี้ สรท. ยังไม่ปรับเป้าหมายการส่งออก ที่ปีนี้ตั้งเป้าขยายตัว 2-3%”
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 68 มีกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกรวม 510 โครงการ กว่า 700 กิจกรรมย่อย มีเป้าหมายสร้างมูลค่าการค้ารวม 92,363 ล้านบาท และผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ 261,804 ราย สำหรับการเตรียมรับมือการขึ้นภาษีทรัมป์นั้น ได้ติดตามและประเมินท่าทีของประเทศต่างๆ อย่างใกล้ชิด เร่งหาผู้นำเข้ารายใหม่ๆ วางแผนการเปิดตลาดใหม่ ลดพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ โดยมองว่า ยังมีโอกาสที่สินค้าไทยยังจะส่งออกได้อีก “ไม่ได้โลกสวย แต่ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส เพียงแต่จะแสวงหาโอกาสอย่างไร”