นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังประเมินผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ได้ตามเป้าหมาย 3 %โดยไตรมาสแรก ถือว่าเศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย แต่เมื่อเจอภาษี ทรัมป์ ยอมรับว่ามีผลกระทบ หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ให้เติบโตเท่าเดิม คือ 3% ก็ต้องใช้เงิน 500,000 ล้านบาท ส่วนแหล่งที่มาของเงินมาจากหลายส่วน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังประเมินและหาวิธีการ ทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าภาษีทรัมป์ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทำได้คือ เกาะติดสถานการณ์ เมื่อเหตุการณ์นิ่ง รัฐบาลพร้อมออกมาตรการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย จะหารือกับธปท. อีกครั้ง เพื่อออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เพื่อช่วยเติมสภาพคล่อง ผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าไทย ลักษณะเดียวการออก พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)ซอฟต์โลน ของธปท. แต่ต้องปรับเงื่อนไขเพื่อผ่อนปรน ให้ผู้ประกอบการ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเน้นกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้า แบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้งนโยบายการเงิน พันธบัตร และตลาดทุน เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจไทย เติบโตตามเป้าหมาย3%
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ฐานะการคลังของประเทศไทย ยังแข็งแกร่ง หากรัฐบาลต้องการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 500,000 ล้านบาท ต้องไปจัดลำดับความสำคัญของโครงการ เพื่อเร่งการใช้จ่ายกระตุ้นการบริโภค และการลงทุน หากจำเป็นต้องกู้เงิน ก็ต้องทำ ไม่มีใครตอบได้ว่าต้องการใช้เงินเท่าใด และใช้มาตรการใดรับมือภาษีทรัมป์ เพราะสถานการณ์ยังไม่นิ่ง
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ภาษีทรัมป์ สร้างความไม่แน่นอนให้กับทุกประเทศ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอกเวลา ทุกประเทศ ต้องเกาะติดนโยบายทรัมป์ตลอดเวลา หลายประเทศกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างเตรียมข้อมูลไว้เท่านั้น แต่ไม่มีใครประเมินสถานการณ์ได้