จี้ออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจ “กอบศักดิ์” แนะรัฐกู้วิกฤติภายในรับมือภาษีทรัมป์

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

จี้ออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจ “กอบศักดิ์” แนะรัฐกู้วิกฤติภายในรับมือภาษีทรัมป์

Date Time: 9 เม.ย. 2568 08:36 น.

Summary

“กอบศักดิ์” แนะรัฐเร่งออกมาตรการรักษาแรงส่งทางเศรษฐกิจ เยียวยาผู้ประกอบการ หนุนการท่องเที่ยว–ใช้จ่าย กีดกันสินค้าจีนราคาถูกระหว่างการไปเจรจาลดภาษีกับสหรัฐฯ หวั่นเศรษฐกิจไทยฟุบจากผลกระทบทรัมป์ 2.0 มองตลาดสินทรัพย์ผันผวน แนะคนไม่ไหวออกจากตลาดถือเงินสด รอจังหวะฝุ่นหายตลบ

Latest

ยุบสภา สะเทือนนโยบายหลักต้องรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ เผยคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ฝันค้าง

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวทางการรับมือการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯต่อไทยในอัตรา 36% ว่า สงครามการค้ารอบ 2 นี้หากพิจารณาแล้ว จีนกับสหรัฐฯ น่าจะเปิดสงครามการค้ากันยาวนาน ตามมาด้วยสงครามด้านเทคโนโลยี ไม่มีใครยอมใคร และสิ่งที่กังวลมากกว่าในขณะนี้ คือ เมื่อประเทศมหาอำนาจเปิดสงครามการค้ากันแล้ว หากสงครามการค้าไม่จบง่ายก็อาจจะขยายความขัดแย้งไปสู่สงครามทางการทหาร ทั้งสองฝ่ายจะพยายามหามิตร และค้าขายกันเอง สหรัฐฯกับจีนอาจจะค้าขายกันน้อยลง โดยสุดท้ายทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยจะถูกบังคับให้เลือกข้าง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

โดยการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ครั้งนี้ กระทบเศรษฐกิจไทยใน 5 ด้าน คือ 1.ภาคการค้า กระทบการส่งออกของไทยโดยตรง สำหรับสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และโดยอ้อมจากการส่งสินค้าไปยังประเทศคู่ค้า นอกจากนั้น ยังกระทบ 2.การท่องเที่ยว เพราะเราต้องการนักท่องเที่ยวต่างชาติ หากเศรษฐกิจโลกชะลอลง จำนวนนักท่องเที่ยวก็จะลดลงตามด้วย 3.จะกระทบการลงทุนโดยตรงของไทยให้ชะลอตัวลง เพราะแม้ว่า ในปีที่ผ่านมายอดรับการส่งเสริมการลงทุนจะสูงมาก แต่ผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนต้องคำนวณต้นทุนใหม่ หยุดการลงทุนไปก่อนและรอดูสถานการณ์ 4.ส่งผลกระทบต่อความผันผวนของราคาสินทรัพย์ทั้งหุ้น ผลตอบแทนพันธบัตร ราคาทองคำ 5.ผลกระทบสุดท้ายที่กระทบมากขึ้นเรื่อยๆ คือ กระทบต่อความเชื่อมั่นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย

นายกอบศักดิ์กล่าวต่อว่า สำหรับทางออกของไทยในขณะนี้ ในส่วนการเจรจาลดอัตราภาษีกับสหรัฐฯ เราต้องเจรจาแน่นอน เพราะภาษีอัตรา 36% ถือว่าสูงมากเกินไปที่ไทยจะรับได้ และไทยเล็กเกินไปที่จะตอบโต้ ดังนั้น หนทางเดียวคือ ต้องเจรจา แต่การเจรจาอาจจะต้องใช้เวลานาน และไม่ชัดเจนว่าจะได้ลดอัตราภาษีเหลือเท่าไร สิ่งที่รัฐบาลควรทำมากที่สุดในขณะนี้ คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ด้วยการพยายาม รักษาแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวต่อเนื่อง รักษาการใช้จ่ายให้เกิดขึ้นต่อเนื่องลดภาระหนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาสะสมอยู่รวมทั้งเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพราะเวลานี้เรามีหลายปัญหาซ้ำเติมเศรษฐกิจมาต่อเนื่อง

“มาตรการรักษาแรงส่งทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องรีบคิด และเร่งออกมารับมือ โดยเฉพาะการสร้างความมั่นใจให้กับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวจากความไม่มั่นใจจากปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแผ่นดินไหว เพราะไทยพึ่งพาท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก นอกจากนั้น จะต้องเร่งหารือกับนักลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเอาไว้ให้ยังคงเชื่อมั่น อุตสาหกรรมไหนลงเงินได้ขอให้เร่งลงทุนในไทยให้เร็วขึ้นในปีนี้ ขณะเดียวกันต้องคุยกับนักลงทุนสหรัฐฯในไทย เช่น เอชพี ซีเกต ที่เขาใช้เราเป็นฐานการผลิตส่งออก เพราะเขาก็ได้รับผลกระทบ”

ส่วนด้านการส่งออก นายกอบศักดิ์กล่าวต่อว่า ในอนาคตจะต้องหาช่องทางใหม่ๆ เช่น กรณีที่สหรัฐฯกับจีนมีปัญหาการซื้อสินค้าจากกันลดลง แม้สินค้าเราจะขึ้นราคา 36% จากภาษีคนสหรัฐฯก็น่าจะซื้อมากกว่าสินค้าจีนที่ขึ้นราคา 60% หรือไปที่อินเดีย อาเซียน ประเทศตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา เพื่อให้การขึ้นลงภาษีของสหรัฐฯ หรือผลกระทบจากการค้าจากจีนต่อไทยลดลง ขณะที่สิ่งสำคัญมากคือ ต้องออกมาตรการเพื่อป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนที่จะทะลักเข้ามาเพิ่มขึ้น เพื่อปกป้องและเยียวยาผู้ประกอบการไทย วันนี้สิ่งที่เราทำได้คือเตรียมตัวเองให้พร้อม และป้องกันผลกระทบจากวิกฤติ แต่ยังคงมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่จะโตต่ำกว่า 2.5%

ต่อข้อถามถึงความผันผวนของตลาดเงิน และตลาดทุน นายกอบศักดิ์ยอมรับว่า มาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ออกมานั้น จะช่วยบรรเทาการตกของหุ้นได้บ้าง แต่คงแก้ปัญหาความไม่เชื่อมั่นไม่ได้ และผลกระทบที่ชัดเจนจะสะท้อนในผลประกอบการบริษัทที่จะออกมาทั้งปีนี้ ดังนั้น แม้ว่าราคาหุ้นจะลดลงมากแล้วก็ตาม แต่หากให้แนะนำการลงทุนอย่ากู้หรือขอสินเชื่อมาลงทุน และเมื่อซื้อแล้วต้องเตรียมใจว่า ราคาหุ้นอาจจะลดลงไปได้อีก หากสามารถลงทุนในระยะยาวได้ มีเงินเย็นและมีความเชี่ยวชาญในการดูหุ้น และสถานการณ์ เห็นว่าราคาหุ้นในขณะนี้ถือว่าต่ำแล้ว ทั้งหุ้นไทยและต่างประเทศ แต่หากรับความเสี่ยงไม่ไหว หรือไม่มีความพร้อมก็ออกมาจากตลาดก่อนได้ หักเงินไว้ในที่ปลอดภัย ฝากเงินในธนาคารก็ได้ และรอให้ฝุ่นหายตลบสถานการณ์คลี่คลายค่อยเข้ามาอีกที.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ