
“ศุภวุฒิ” เผยไทยไม่รีบร้อนเจรจาสหรัฐฯลดภาษีตอบโต้ แต่จะเก็บกระสุนไว้ต่อรอง ไม่อยากยกของฟรีให้สหรัฐฯโดยไม่ได้อะไรกลับคืน ขณะที่กรมการค้าต่างประเทศเฝ้าระวังสินค้าเสี่ยงถูกประเทศอื่นสวมสิทธิไทยส่งออกไปสหรัฐฯ 49 รายการ หลังสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าคู่ค้าทั่วโลก และอีก 9 รายการส่งออกไปอียู
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ เปิดเผยในรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ ว่า นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะต้องการเปลี่ยนเศรษฐกิจสหรัฐฯจากขาดดุลการค้ามาเป็นเกินดุลการค้า และนำรายได้จากภาษีบางส่วนมาชดเชยขาดดุลการคลัง ที่มาจากการลดภาษีให้คนรวย โดยจะเก็บภาษีตอบโต้ประเทศที่เกินดุลการค้า ซึ่งเปรียบเสมือนเอาเปรียบสหรัฐฯ เช่น ไทยเกินดุล 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯก็เก็บไทย 36% จีน กว่า 74% เป็นต้น
“ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีตอบโต้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสหรัฐฯจะขึ้นภาษีอย่างไร และเราก็ไม่รู้ว่าจะไปคุยกับใคร ทั้ง รมว.พาณิชย์ รมว.คลัง สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) เพราะเขาตอบอะไรไม่ได้เลย แต่คณะทำงานที่นายกฯตั้งขึ้น ทำงานมาตลอด 3 เดือน ได้ศึกษาท่าทีที่ประเทศต่างๆรีบร้อนยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯ เหมือนยกของฟรีให้เขาโดยที่ไม่ได้อะไร แต่ไทยจะไม่รีบร้อนเจรจาให้ลดภาษี จะเก็บกระสุนไว้ต่อรอง”
โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเรา คือ 1.นำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ที่เราผลิตไม่พอใช้ 2.ลดภาษีศุลกากรบางสินค้าที่ลดได้ ไม่ใช่ลดทั้งหมด รวมทั้งสกัดสินค้าที่อ้างถิ่นกำเนิดไทยแล้วส่งออกไปสหรัฐฯ 3.นำเข้าก๊าซธรรมชาติในโครงการใหม่ที่สหรัฐฯจะลงทุนในอลาสกา เพื่อมาขายเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น “เราพาดบันไดเอาไว้ เผื่อว่าสหรัฐฯจะถอยหรือเปลี่ยนนโยบาย เพราะการขึ้นภาษีกระทบสหรัฐฯมาก เราพร้อมเจรจาในจุดที่สหรัฐฯต้องถอย พร้อมกันนั้นรัฐบาลได้เตรียมมาตรการเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบในระยะสั้น และเตรียมเงินทุนให้ผู้ประกอบการหาตลาดใหม่ คาดว่าจะใช้งบ 3,000 ล้านบาท”
ด้านนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรมร่วมกับศุลกากรสหรัฐฯ ติดตามและเฝ้าระวังกรณีที่อาจมีประเทศอื่นสวมสิทธิไทย เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยได้ขึ้นบัญชีสินค้าเฝ้าระวัง หรือสินค้าที่สหรัฐฯใช้มาตรการต่างๆกับประเทศอื่น เช่น เก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี/ซีวีดี) แต่ประเทศนั้นๆอาจส่งสินค้าเหล่านั้นมาไทยแล้วส่งออกต่อไปสหรัฐฯ โดยอ้างว่าผลิตจากไทย เพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษีเอดี/ซีวีดี เพราะสินค้าไทยไม่ถูกสหรัฐฯเก็บภาษีเอดี-ซีวีดี
โดยสินค้าเฝ้าระวังสวมสิทธิส่งออกไทยไปสหรัฐฯ มี 49 รายการ เช่น น้ำผึ้ง, ท่อเหล็ก, ยางรถยนต์และรถบรรทุก, พื้นไม้, ไม้อัด, ผ้าใบสำหรับวาดภาพ, นอต, ตะปู, ลวดสปริง, อ่างล้างจานสเตนเลส, ไม้แขวนเสื้อ, อะลูมิเนียมอัดขึ้นรูป, เหล็กลวดคาร์บอนผสมโลหะ, อะลูมิเนียมฟอยล์, ใบเลื่อยทุกชนิด, ลวดเย็บกระดาษ, ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง, เครื่องจักรและชิ้นส่วน, แผงโซลาร์เซลล์, ล้อเหล็กสำหรับรถบรรทุก,แผ่นหินเทียม, กล้องดิจิทัล, ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบตัวถังรถยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, ที่นอน, ตู้ไม้ โต๊ะและส่วนประกอบ, หมอน เบาะรองนั่ง, ใยแก้ว, กระปุกเกียร์ เป็นต้น
สำหรับสินค้าเฝ้าระวังนี้ กรมกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องยื่นขอตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้ากับกรมก่อน จึงจะขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไป เพื่อใช้ประกอบการส่งออกไปสหรัฐฯ หากพบว่า มีการสวมสิทธิ จะไม่ออกใบรับรองถิ่นกำเนิดให้ ซึ่งจะทำให้ส่งออกสินค้าลอตที่มีปัญหาไปสหรัฐฯไม่ได้ อย่างไร ก็ตาม จากการตรวจสอบมีเพียง 2 รายการ ที่พบแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย ซึ่งกรมได้เพิกถอน Form C/O ทั่วไปแล้ว
ขณะเดียวกันเตรียมเพิ่มสินค้าเฝ้าระวังอื่นๆอีก โดยเฉพาะในกลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ รถยนต์ ที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีไปแล้ว 25% รวมทั้งยังได้ขึ้นบัญชีสินค้าเสี่ยงสวมสิทธิไทยส่งออกไปสหภาพยุโรป(อียู) อีก 9 รายการด้วย คือ ผลิตภัณฑ์ใยแก้ว, เหล็กลวด, ท่อเหล็กและท่อเหล็กไร้ตะเข็บ, อุปกรณ์ท่อเหล็กและท่อทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า, อะลูมิเนียมอัดขึ้นรูป, อะลูมิเนียมฟอยล์, ล้อเหล็ก, รถจักรยานไฟฟ้า, รถจักรยานและรถจักรยานอื่นๆ รวมถึงรถสามล้อส่งของที่ไม่มีเครื่องยนต์.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม