แผ่นดินไหว “การค้าโลก” สัญญาณโหด เศรษฐกิจสั่นคลอน สหรัฐฯ ฟันภาษีนำเข้าไทยสูง 36% กระทบเราอย่างไร?

Economics

Thai Economics

Tag

แผ่นดินไหว “การค้าโลก” สัญญาณโหด เศรษฐกิจสั่นคลอน สหรัฐฯ ฟันภาษีนำเข้าไทยสูง 36% กระทบเราอย่างไร?

Date Time: 3 เม.ย. 2568 09:55 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

อาฟเตอร์ช็อก จากภาษีสหรัฐฯ! ไทยเผชิญแรงกดดันหนัก ทั้งการค้า การลงทุน และค่าครองชีพ หลัง "โดนัล ทรัมป์" ประกาศ "Liberation Day" ขึ้นภาษีนำเข้าหลายประเทศ ไทยโดน 36% หนึ่งในอัตราที่สูงที่สุด รวมความเห็นนักการเงิน นักเศรษฐศาสตร์ อะไรคือทางรอด แล้วเศรษฐกิจไทย - คนไทย จะกระทบอย่างไรบ้าง ? ภายใต้คาดการณ์มีโอกาสที่ GDP ไทย อาจหายไปมากสุด 0.6%

Latest


2 เมษายน 2025 (ตามเวลาสหรัฐ) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ "Liberation Day" โดยกำหนดอัตราภาษีพื้นฐานที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด และเพิ่มอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับบางประเทศที่มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับประเทศไทย สินค้านำเข้าจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่กำหนดขึ้นในครั้งนี้ เหตุเพราะไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะการตัดสินใจดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรมและส่งเสริมการผลิตภายในประเทศของสหรัฐฯ 

อย่างไรก็ตาม ผู้นำธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนได้แสดงความกังวลว่าการเพิ่มภาษีดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้น เงินเฟ้อดีดกลับ และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อการค้าโลก 

ทั้งนี้ ไทยในฐานะประเทศที่ส่งออกไปสหรัฐฯ จำนวนมาก ต้องเร่งปรับตัวทั้งในแง่ของตลาดส่งออกและกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ ขณะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ นักเศรษศาสตร์ ภาคการเงิน และ การลงทุน ต่างออกมาแนะนำว่ารัฐบาลไทย ต้องเร่งเจรจาสหรัฐฯ ให้เร็วที่สุด 

เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ในฐานะที่ประเทศเรา ส่งออกไปสหรัฐฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้ากลุ่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า, ยานยนต์, อาหารแปรรูป และสิ่งทอ ซึ่งหากภาคส่งออกได้รับผลกระทบ ก็จะส่งผลต่อการเติบโตของ GDP ไทย และ เงินในกระเป๋าของประชาชนตามมา

ภาษีสหรัฐกระทบไทย “จีดีพี” อาจหายไป 0.6% 

ย้อนมุมมองของภาคเอกชน อย่าง กกร. (คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน) ชี้ว่า ภาษีใหม่ของสหรัฐ จะกระทบ “ส่งออกไทย”  ธุรกิจอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี ของไทย เผชิญความเสี่ยงมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังเจอกับผลกระทบทางอ้อมผ่านคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน (จีนถูกเรียกเก็บ 54%) ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยอาจรุนแรงขึ้น รวมถึงสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ไทยอาจต้องนำเข้าเพิ่มขึ้น หากเจรจาขอผ่อนปรน

“ เศรษฐกิจไทยเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง ที่อาจทำให้จีดีพีปี 2568 ต่ำกว่าที่เคยคาด จากกรอบประมาณการเดิมอยู่ในช่วง 2.4-2.9% ซึ่งได้คำนึงถึงผลกระทบบางส่วนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไว้แล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนถึงขนาดและขอบเขตของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนวันนี้ ซึ่งอาจจะกระทบต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอีกราว 0.2-0.6% " 

ห่วง ส่งออกไปสหรัฐติดลบ กระทบทั้งทางตรง-ทางอ้อม

ด้าน “ดร.อมรเทพ จาวะลา”  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย แชร์มุมมองว่า เมื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คือ ความมั่นคงของชาติของสหรัฐ ผ่านการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ชาติต่างๆ 

ได้สะท้อนถึงการที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตั้งใจลดการพึ่งพิงจีนและชาติที่ไม่ใช่พันธมิตรแท้ๆของสหรัฐ อยากย้ายฐานการผลิตกลุ่มชิป เซมิคอนดักเตอร์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และรถยนต์กลับมาสหรัฐ โดยการขึ้นภาษีเพื่อให้โรงงานในต่างประเทศย้ายกลับไปตั้งฐานในสหรัฐ รวมทั้งเตรียมความพร้อมหากเกิดสงคราม เช่น ยาและเวชภัณฑ์อื่นๆ 

ทั้งนี้ ดร.อมรเทพ ตั้งคำถามถึงแนวทางแก้ปัญหา หลังจากสงครามการค้ารุนแรง ซึ่งหากอ้างอิง 1 ในวิธีการ จากการประกาศของผู้นำสหรัฐฯ คือ การเร่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และมาลงทุนที่สหรัฐ  โดยประเทศต่างๆ เตรียมรับมือ เช่น ยุโรปกำลังหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนจีนจะหามาตรการจำกัดการย้ายฐานไปสหรัฐเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง แล้วประเทศไทยจะทำอะไรได้หลังจากนี้?

โดยแนะให้รัฐบาลไทยทำตามที่ทรัมป์เสนอบ้าง อย่างน้อยก็แสดงความจริงใจ และเพิ่มการต่อรอง เร่งให้ข้อมูลว่าตัวภาษีที่ไทยเก็บจากสหรัฐไม่ได้สูงอย่างที่สหรัฐเห็น แต่ต้องเร่งประสานงานว่าเขาใช้อะไรวัด ขณะเดียวกันเราต้องเตรียมแผนรับมือผลกระทบด้วย เช่น การสวมสิทธิจากจีน สินค้าจีนทะลักกระทบภาคการผลิตไทย และหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแจกเงิน แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างงาน สร้างรายได้ หามาตรการทางการเงินดูแลผู้ได้รับผลกระทบ 

“คาดว่า หากเจรจายาก และภาษีเกิดจริง กนง.น่าลดอัตราดอกเบี้ยลงรอบ 30 เมษายนนี้ ส่วน GDPไทยจะกระทบแค่ไหน ผมห่วงว่ามีโอกาสโตต่ำ 2% เป็น downside risk เนื่องจาก ไทยเราส่งออกสินค้านับเป็น 60% GDP ส่งไปสหรัฐเกือบ 20% ของการส่งออกทั้งหมด รวมๆ เกิน 10% ของGDPไทย ถ้าส่งออกไปสหรัฐติดลบจะกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็ก้อนใหญ่ที่ส่งไปสหรัฐ ทางอ้อมคือที่ส่งไปประเทศอื่น อย่างจีน เวียดนาม ยุโรปที่จะลำบากมากขึ้นตามกำลังซื้อที่อ่อนแอลง  ส่วนท่องเที่ยวก็น่ากระทบด้วยเพราะคนขาดความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ" 

นักเศรษฐศาสตร์ดัง แนะ 3 ทางเลือกไทย “สู้-หมอบ-ทน” 

ส่วน “ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรติ ระบุว่า ภาษีใหม่ที่สหรัฐฯ ประกาศ สำหรับประเทศไทย ถูกเรียกเก็บ 36% นั้น ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก ทั้งๆที่ค่าเฉลี่ยภาษีนำเข้าแค่ประมาณ 10% นี่คือ การบ้านของรัฐบาลไทย ว่าตัวเลขดังกล่าว ถูกคำนวณจากอะไร ? จากนี้ คือ เกมเจรจาล้วนๆ ภายใต้ 3 ทางเลือก ดังนี้ 

1.สู้ แบบ แคนาดา ยุโรป หรือจีน แต่ก็ประเมินว่า อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะไทยพึ่งพาสหรัฐ มากกว่าสหรัฐพึ่งพาไทย จากการที่ สหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเรา เราเกินดุลสหรัฐแต่ละปีหลายหมื่นล้าน (แม้ว่ามูลค่าของการเกินดุลจำนวนมากเป็นสินค้านำเข้าจากจีนที่อาศัยไทยเป็นช่องหลบเลี่ยงก็ตาม)

2. หมอบ คือ เจรจาหาทางลงที่สหรัฐพอใจ เช่น ปรับลดภาษีที่เราเก็บเขาสูงๆ ยอมเปิดตลาดที่ไทยปกป้องอยู่ เช่น สินค้าเกษตรทั้งหลาย ยกเลิก nontariff barrier เช่น การห้ามการนำเข้าเนื้อหมู ค่าตรวจสินค้า 

แต่แค่นี้อาจจะไม่พอ เราอาจจะต้องนำเสนอทางออกให้สหรัฐอีก เช่น การนำเข้าพลังงาน นำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มเติม นำเข้าสินค้าใหญ่ๆ อย่างเครื่องบิน อาวุธ เครื่องจักร  หรือต้องหาทางเพิ่มการลงทุนในสหรัฐ  เราอาจจะต้องเปิดเสรีด้านต่างๆที่สหรัฐบ่นมาตลอด เช่น บริการทางการเงิน การคุ้มครองสิทธิทางปัญญา ประเด็นสิทธิของแรงงาน

“ นอกจากการเจรจา "ภายนอก" แล้ว ต้องการการเจรจา "ภายใน" ที่มีประสิทธิภาพ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรจะยอมเปิดสินค้าเกษตรแลกกับภาคการส่งออก ใครจะยอมเสียประโยชน์ใครจะได้ประโยชน์ และเกมที่ยากที่สุดคือการหาว่าสหรัฐต้องการอะไรจริงๆ เพราะอาจจะไม่ใช่เกมการค้า แต่เป็นเรื่องอื่นอย่างการทหาร ความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เราคงต้องอ่านเกมดีๆและประเมินผลได้ผลเสีย” 

3.ทน คือ ถ้าเราหาทางออกไม่ได้ ก็คงต้องทน หรือหาแนวร่วมจากเพื่อนหัวอกเดียวกันในการกดดันและเจรจากับสหรัฐ เพราะเกมนี้สหรัฐก็อาจจะเจ็บอยู่ไม่น้อย สุดท้ายอาจจะต้องลดภาษีลงมาถ้าแรงกดดันในประเทศเพียงพอ แต่การทนและได้แต่หวังแบบไม่มีแผนคงไม่ใช่กลยุทธ์ทางออกที่ดีนัก

เทียบภาษีกำแพงสหรัฐ คือ แผ่นดินไหว ช็อกการค้าโลก 

ขณะ “ดร.สันติธาร เสถียรไทย”  นักเศรษฐศาสตร์ ผู้บริหาร ที่ปรึกษาและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปรียบ การขึ้นภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ เปรียบเสมือนเป็น “แผ่นดินไหว” ช็อกการค้าไปทั้งโลกก็ว่าได้ และนี่ไม่ใช่ผลกระทบระยะสั้นๆของไทยอย่างแน่นอน  

อาฟเตอร์ช็อคของมาตราการครั้งนี้ อาจจะรุนแรงและซับซ้อน เพราะว่า หลายประเทศอาจเลือกที่จะใช้ไม้แข็งตั้งกำแพงภาษีกลับ สู้กันไปมา ทำให้การค้าโลกโดยรวมทรุดกว่าที่คิด ทำให้ บางประเทศอาจเสี่ยงตกเข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ความเสี่ยงของอเมริกาเองก็เพิ่มขึ้น)

ทำให้เมื่อตลาดอเมริกาเหมือนจะกลายเป็น เมืองล้อมด้วยกำแพง ที่สินค้าเข้าไม่ได้หรือยากขึ้น ทุกประเทศก็จะคิดคล้ายๆกันคือต้องส่งออกไปตลาดอื่น ดังนั้นการแข่งขันจะเข้มข้นขึ้นทั้งสำหรับการส่งออกของไทยในตลาดที่3 และสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆอาจทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น 

“ เดิมการลงทุนที่ไทยได้จากการหลบเลี่ยงสงครามการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐฯ อาจชะงักหรือชะลอเพราะตอนนี้ไทยเองก็โดนภาษีในระดับสูงเช่นกัน (แม้ว่าเวียดนามขะโดนมากกว่า) อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายอย่าง เช่นว่ากำแพงภาษีทั้งหมดนี้เจรจาได้แค่ไหน แต่ความไม่แน่นอนนี่เองก็จะทำให้ธุรกิจต่างๆทั่วโลกต้องหยุดเพื่อรอดู ปรับแผน มีผลลบกับเศรษฐกิจการลงทุนทันที “ 

“ ผมเชื่อว่านี่คือ แผ่นดินไหวทางการค้าโลกที่มีผลกระทบต่อไทยอย่างมากและมากกว่าที่คนส่วนใหญ่เคยคิดกัน  แน่นอน  ส่วนตัวจึงมองว่าจำเป็นต้องมี War Room ทีมพิเศษที่มีทั้งภาครัฐและเอกชนเตรียมรับมือเรื่องนี้และให้เป็นเรื่องเร่งด่วนพิเศษธุรกิจต่างๆเองก็คงต้องเตรียมรับมือแรงกระแทกและปรับกลยุทธ์หาโอกาสในวิกฤตเช่นกัน เพราะช็อคครั้งนี้อาจไม่ใช่กระแทกระยะสั้นแต่จะมีผลปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจการค้าโลกระยะยาวด้วย " 

สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า กระทบต่อคนไทยอย่างไร ?  

ทั้งนี้  “วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ประเมินความเสียหายจาก ภาษีสหรัฐรอบใหม่ สำหรับประเทศไทย กว่า 2 แสนล้านบาท โดยประเทศไทย พร้อมเจรจา และเสนอ ลดภาษีนำเข้า– เพิ่มปริมาณนำเข้าสินค้าบางรายการ เพื่อลดการเกินดุลการค้า นอกจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินการควบคู่ไปกับการลงทุน การส่งเสริมความร่วมมือ และการแก้ปัญหามาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มปรับปรุงกฎระเบียบและเฝ้าระวังสินค้าสวมสิทธิเพิ่มมากขึ้นแล้ว 

สำหรับคำถามที่ว่า กำแพงภาษีสหรัฐล่าสุด ครั้งนี้ จะกระทบต่อประชาชนคนไทยอย่างไรบ้างนั้น ? จากการวิเคราะห์หลายแห่งข้อมูลทางเศรษฐกิจ สรุปได้ว่า หากภาคส่งออกไทย ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี รายได้จากการค้าต่างประเทศลดลง จะกระทบต่อ การเติบโตของ GDP ไทย ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวช้าลง

บริษัทที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อาจต้อง ลดการผลิต และอาจเกิด การปลดพนักงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์

การว่างงานที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง ส่งผลกระทบต่อ ภาคธุรกิจในประเทศ เช่น ค้าปลีก ร้านอาหาร และบริการ ซึ่งต้องพึ่งพาผู้บริโภคในประเทศ

หากเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพราะไทยอาจต้องนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมาทดแทนสินค้าส่งออกที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่นและเกษตรกรไทยที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นด้วยเช่นกัน 

ท้ายที่สุด นี่ไม่ใช่เพียงมาตรการภาษีระยะสั้น แต่เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ที่ไทยต้องรีบปรับตัวและหาโอกาสจากวิกฤตินี้ให้เร็วที่สุด หากไม่สามารถลดผลกระทบจากกำแพงภาษีได้ เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญแรงกระแทกที่หนักกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

อุมาภรณ์ พิทักษ์

อุมาภรณ์ พิทักษ์
เศรษฐกิจ การเงิน ลงทุน และ อสังหาริมทรัพย์