
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2568 ว่า ได้วางแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น นอกจากกองทุน Thai ESG ใหม่ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบแล้ว การที่จะให้นักลงทุนมั่นใจยังมีเรื่องที่ต้องทำอีก โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน ให้ปรับตัวเพื่อตอบโจทย์เรื่องหุ้นยั่งยืน นอกจากนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะหารือกับบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET 100 และ SET 50 ว่าควรลงทุนในลักษณะใดบ้าง เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
ส่วนมาตรการเรื่องของการเรียกความเชื่อมั่น ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ให้เกิดความเสียหาย ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกกฎหมายพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โดยเร่งด่วน ให้อำนาจ ก.ล.ต.ในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีที่มีความสำคัญจริงๆ คาดว่าจะสามารถเข้า ครม.ได้สัปดาห์หน้า หากสามารถทำทัน “เราต้องการทำให้นักลงทุนมั่นใจว่า หากเกิดกรณีที่ไม่ถูกต้องจะมีการจัดการและลงโทษตามกฎหมาย จึงต้องทำกฎหมายให้มีความชัดเจน”
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การออก พ.ร.ก.เป็นการเพิ่มอำนาจให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีอำนาจในการสอบสวนและสืบสวน รวมถึงสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการได้เพิ่มเติม จากขอบเขตอำนาจในปัจจุบัน โดยกระทรวงการคลังกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎหมาย คาดว่าจะสามารถประกาศเป็น พ.ร.ก.ได้เร็วๆนี้
ทั้งนี้ เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว จะช่วยลดระยะเวลาในการดำเนินคดีลงอย่างมาก ครอบคลุมคดีที่มีผลกระทบสูง (high impact) ช่วยจำกัดขอบเขตความเสียหายของผู้ลงทุนได้ หากสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้รวดเร็ว ที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานสืบสวนอยู่แล้ว แต่ต้องใช้เวลาในการทำงานระหว่างหน่วยงาน หากลดขั้นตอนการทำงานได้รวดเร็วขึ้น จะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดกับนักลงทุนได้ ซึ่งอำนาจเหล่านี้ ก.ล.ต.เคยมีอยู่แต่เดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ ก.ล.ต.ไม่มีอำนาจ การออก พ.ร.ก.จะทำให้อำนาจคืนมา ทำงานตรวจสอบได้เร็วขึ้น
ซึ่งรวมถึงอำนาจในการระงับการโยกย้ายทรัพย์สิน อายัดทรัพย์ในกรณีที่มีความเสียหายสูง จะสามารถทำได้สะดวกมากขึ้น โดยเป็นการอายัดไว้ตรวจสอบ “กรณีที่ความเสียหายที่เป็น high impact ยกตัวอย่างเช่น กรณีหุ้น STARK ที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนจำนวนมาก กรณีแบบนี้ ก.ล.ต.จะสามารถเข้าไปดูแลได้”
วันเดียวกัน ก.ล.ต.ได้ขอให้พนักงานอัยการฟ้องผู้กระทำความผิด 10 ราย ต่อศาลแพ่ง กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ STAR (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เวล แมเนจเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WELL) ได้แก่ 1.นางอนัญญา เรืองศักดิ์วิชิต 2.นางกิ่งกาญจน์ สมิตานนท์ 3.นางสาวนฤมล แมงทับ 4.นายโดม พรหมายน 5.นางสาวณัฐชานันท์ สิริรุจิโยทัย 6.นายสุสิชณ์ทักษ์ อัจฉริยะสมบัติ 7.นายธนกฤต อัจฉริยะสมบัติ 8.นางสาวภัสธารีย์ วงษ์ทองหลิน 9.นายประพล มิลินทจินดา 10.นายกานต์ พรหมายน
ทั้งนี้ จากจำนวนผู้กระทำความผิดรวม 15 ราย กำหนดให้ชำระค่าปรับรวม 65.17 ล้านบาท โดยผู้กระทำความผิด 5 ราย ได้ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ส่วนอีก 10 รายข้างต้นไม่ยินยอม ก.ล.ต.จึงมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง โดยให้ชำระเงินรวม 47.91 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย และนำส่งการดำเนินการดังกล่าวต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ด้วย.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่