
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาในหัวข้อ “TRADE War 2025 : จะรับมือกับ Trump อย่างไร?” เพื่อแชร์มุมมองนักเศรษฐศาสตร์ ต่อสงครามการค้าและแนวโน้มอนาคต โดยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศ ไทย กล่าวว่า เป้าหมายของสหรัฐฯ คือ Make America Number 1 again และเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดความขัดแย้งของเบอร์ 1 และ 2 ของโลกเสมอ และครั้งนี้เบอร์ 1 อย่างสหรัฐฯ ต้องการจัดการเบอร์ 2 อย่างจีน การขัดแย้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งใน 5 มิติ ทั้ง Trade war, Tech war, Financial war, Sphere of Influence และ Military war ส่วนผลกระทบต่อสหรัฐฯ คือ เงินเฟ้อ, เศรษฐกิจขยายตัวช้าลง, การจ้างงานลดลง และความสามารถการแข่งขันของสหรัฐฯจะแย่ลง “ผลกระทบต่อตลาดทุนช่วง 1 เดือน คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วนหมด ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า โดยเฉพาะช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ทรัมป์เอาจริงเรื่องนโยบายภาษี แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ทรัมป์กำลังทำ ทำให้ตลาดถอดใจ สิ่งที่ยังพอไปได้คือทองคำแต่ยังมีความไม่แน่นอน ท่ามกลางความผันผวนยากที่จะประเมินทิศทางตลาด อยู่ในตลาดรอบนี้ต้องรับแรงผันผวน ได้ การลงทุนวันนี้ไม่เหมือนก่อน”
นายดอน นาครทรรพ ผอ.อาวุโสฝ่ายบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ผลกระทบ Trade War ทำให้ค่าเงินผันผวนหนัก โดยเฉพาะประเทศที่โดนสหรัฐฯขึ้นภาษีคือ จีน เม็กซิโกและแคนาดาที่ค่าเงินอ่อนค่า ขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้น คนไม่มั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐฯทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า เช่นเดียวกับหุ้นสหรัฐฯก็ปรับลงทุกตลาด ทุกประเทศทั่วโลกต้องเตรียมรับมือ Trade War โดยสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศ อย่าพึ่งพาการค้าต่างประเทศมากเกินไป, ดูแลเสถียรภาพด้านต่างประเทศ, ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าภูมิภาค, เจรจากับสหรัฐฯเพื่อลดความเสี่ยง, เกาะติด Supply Chains และอาศัยกลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) “นโยบายที่ไม่แน่นอนทำให้ค่าเงินไม่แน่นอน คาดเดายาก ดังนั้น ต้องบริหารความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน”
ขณะที่นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ กล่าวว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ คือ ธุรกิจที่ไปลงทุนในสหรัฐฯ กลุ่มที่เสียประโยชน์ คือ อาเซียนเพราะทรัมป์ไม่รู้จักอาเซียน รู้จักแต่กลุ่ม BRICS, เศรษฐกิจไทย ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ จะเสียประโยชน์ และกลุ่มที่เคยได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลพรรคเดโมแครต ส่วน น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผอ.โครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ไทยมีโอกาสจากสงครามการค้า คือ สหรัฐฯมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นดอกเบี้ยโลกจะลดลง ดอกเบี้ยไทยก็อาจลดลงได้อีก 1-2 ครั้งในปีนี้ และระยะสั้น ราคาพลังงาน-น้ำมันจะถูกลง เพราะดีมานด์โลกลดลง แต่ซัพพลายจะเพิ่มขึ้น และไทยยังมีโอกาสเรื่องการลงทุน เพราะความขัดแย้งทำให้เกิดการย้ายฐานผลิต ซึ่งไทยดึงดูดการลงทุนได้จากทั้งสหรัฐฯจีน และยุโรป โดยธุรกิจที่กำลังมาไทยคืออิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า.