
จากสถิติกำลังแรงงานในประเทศไทย ราว 40 ล้านคน มีประมาณ 10 ล้านคนเท่านั้น ที่อยู่ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และอีกประมาณ 4 ล้านคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ซึ่งคิดเป็นเพียง 15% ของรายได้รัฐบาลทั้งหมด เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ OECD (กลุ่มประเทศความร่วมมือ) ที่ 23.6% เช่นเดียวกับข้อมูลในภาคธุรกิจ ที่พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย ที่ยังอยู่นอกระบบ และ ทำให้ภาษีเงินได้นิติบุคคล ต่ำกว่าความเป็นจริง และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD เช่นกัน
นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง ที่ KKP Research ประเมินว่า อาจทำให้ ในอีก 15 ปีข้างหน้า หรือ ในปี 2040 รัฐบาลไทย จะเหลืองบประมาณที่ใช้จ่ายได้อย่างอิสระ ประมาณ 20% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น จากที่ในปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 40%
ข้อห่วงใยสำคัญ เมื่อพบว่า ประเทศไทย กำลังเผชิญกับ สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ และอยู่ในนิยามสะท้อนความจริงที่ว่า คนไทย “แก่” ก่อน “รวย” ขณะที่รัฐบาลมีโจทย์ ต้องเร่งลงทุนในด้านอื่นๆที่จำเป็น เพื่อยกระดับเศรษฐกิจให้เรา “รวย” ก่อน “แก่” ให้ได้ ก่อนจะสายเกินแก้
ข้อมูลรายงานของ KKP Research ในหัวข้อ : วินัยทางการคลัง ฝันที่ (ไม่) เป็นจริง ระบุ 3 ประเด็นน่าห่วง ได้แก่
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้ ความเสี่ยงของภาคการคลัง มีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้น นี่เองหากในอนาคต มีเหตุจำเป็นให้ต้องเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ หรือ หากรายได้ภาครัฐในอนาคตอาจะหลุดเป้าจากภาวะ เศรษฐกิจที่ซบเซามากกว่าที่คาด จะยิ่งน่ากังวลมากขึ้น
นอกจากประเด็นวินัยทางการคลังในระยะสั้นที่น่าเป็นห่วงแล้ว ในระยะข้างหน้า KKP Research คาดว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะมีข้อจำกัดอย่างมาก โดยอาจจะแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย
ทั้งนี้ จากข้อจำกัดข้างต้นหากรัฐบาลไม่เริ่มขยับตัวตั้งแต่วันนี้ในการปฏิรูปภาครัฐอย่างจริงจัง ทั้งด้านการใช้จ่ายและรายรับของรัฐบาลก็อาจจะไม่ทันการณ์ที่จะรองรับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่ได้เริ่มเกิดขึ้น
การปฏิรูปรายจ่ายของรัฐบาลมักจะเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงค่อนข้างมากและมีข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐให้เงินแต่ละบาทที่ใช้จ่ายไปสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าเงินที่ใช้ไป ไปจนถึงการลดขนาดของรัฐ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการปฏิรูปการใช้จ่ายของรัฐเพียงด้านเดียวยังไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบภาษีที่นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กันด้วย
การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีให้อย่างน้อยประชากรและธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในระบบภาษี จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญที่สุด เช่น การกำหนดแรงจูงใจให้ผู้มีรายได้ต้องยื่นภาษี หรือการจัดทำระบบการยื่นภาษีที่สะดวกและเข้าใจง่ายมากขึ้น จะช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐบาลได้
รวมไปถึง เสนอให้แก้ไขการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วน 150,000 บาทแรก หรือการลดหรือเพิ่มการลดหย่อนภาษีหรือการหักค่าใช้จ่ายในบางรายการให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น
ขณะที่การปรับขึ้นภาษีอาจจะจำเป็นในกรณีสุดท้าย โดยควรจะเริ่มจากภาษีที่บิดเบือนระบบเศรษฐกิจในระดับต่ำก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือภาษีที่ลดทอนพฤติกรรมบางอย่างที่อาจสร้างต้นทุนต่อสังคมในระยะยาว อย่างเช่นภาษีสรรพสามิตบุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนภาษีที่บิดเบือนพฤติกรรมโดยทั่วไปอย่างภาษีเงินได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลอาจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เลือกใช้
ที่มา : KKP Research
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney