คนไทย “แก่” ก่อน “รวย” รายจ่ายรัฐบาลพุ่ง 20% ต่อ GDP

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

คนไทย “แก่” ก่อน “รวย” รายจ่ายรัฐบาลพุ่ง 20% ต่อ GDP

Date Time: 10 มี.ค. 2568 10:51 น.

Video

Amazon ธุรกิจนี้เจ๋งยังไง ทำไมถึงเป็นหุ้นลูกรักของใครหลายคน ? | Digital Frontiers EP.48

Summary

ในวันที่คนไทย “แก่” ก่อน “รวย” รายจ่ายรัฐบาลพุ่ง 20% ต่อ GDP ไทยเหลือพื้นที่การคลัง เพื่อใช้บริหารประเทศอีกแค่ไหน? กับแรงงานในระบบภาษี แค่ 10 ล้านคน แต่รายจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุต่อเดือน กำลังแตะ 3 แสนล้านบาท ในอีก 15 ปีข้างหน้า

Latest


จากสถิติกำลังแรงงานในประเทศไทย ราว 40 ล้านคน มีประมาณ 10 ล้านคนเท่านั้น ที่อยู่ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และอีกประมาณ 4 ล้านคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 

ซึ่งคิดเป็นเพียง 15% ของรายได้รัฐบาลทั้งหมด เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ OECD (กลุ่มประเทศความร่วมมือ) ที่ 23.6% เช่นเดียวกับข้อมูลในภาคธุรกิจ ที่พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย ที่ยังอยู่นอกระบบ และ ทำให้ภาษีเงินได้นิติบุคคล ต่ำกว่าความเป็นจริง และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD เช่นกัน 

นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง ที่ KKP Research ประเมินว่า อาจทำให้ ในอีก 15 ปีข้างหน้า หรือ ในปี 2040 รัฐบาลไทย จะเหลืองบประมาณที่ใช้จ่ายได้อย่างอิสระ ประมาณ 20% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น จากที่ในปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 40% 

ข้อห่วงใยสำคัญ เมื่อพบว่า ประเทศไทย กำลังเผชิญกับ สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ และอยู่ในนิยามสะท้อนความจริงที่ว่า คนไทย “แก่” ก่อน “รวย” ขณะที่รัฐบาลมีโจทย์ ต้องเร่งลงทุนในด้านอื่นๆที่จำเป็น เพื่อยกระดับเศรษฐกิจให้เรา “รวย” ก่อน “แก่” ให้ได้ ก่อนจะสายเกินแก้ 

3 ประเด็นน่าห่วง วินัยการคลังไทย 

ข้อมูลรายงานของ KKP Research ในหัวข้อ : วินัยทางการคลัง ฝันที่ (ไม่) เป็นจริง ระบุ 3 ประเด็นน่าห่วง ได้แก่ 

  • หนี้สาธารณะไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 จนต้องยกเพดานหนี้หนีเป็นครั้งแรกจาก 60% เป็น 70% อย่างไรก็ตาม ผ่านมาไม่กี่ปีหนี้สาธารณะไทยก็มีแนวโน้มจะแตะเพดานดังกล่าวอีกครั้ง สะท้อนวินัยการคลังของรัฐบาลที่อ่อนแอ (และเศรษฐกิจที่เติบโตได้ช้าลง) ในช่วงที่ผ่านมา
  • รัฐบาลมักจะประเมินหนี้สาธารณะต่ำไปเสมอและหากเศรษฐกิจเติบโตได้เพียง 3.5% และยังขาดดุลงบประมาณที่ 4.5% ของ GDP หนี้สาธารณะจะชนเพดานภายใน 2 ปีข้างหน้า และอาจจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 80-90% ในอีก 10 ปีข้างหน้า
  • รัฐบาลจะต้องเผชิญความท้าทายในอีก 10 ปีข้างหน้า ทั้งจากหนี้สาธารณะในระดับสูง สังคมผู้สูงอายุ และภาครัฐขนาดใหญ่ โดยคาดว่ารัฐบาลจะมีงบประมาณที่ใช้จ่ายเพื่อการลงทุนได้อย่างอิสระลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปัจจุบัน ขณะที่งบประมาณสวัสดิการภาครัฐและค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรจะเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้ ความเสี่ยงของภาคการคลัง มีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้น นี่เองหากในอนาคต มีเหตุจำเป็นให้ต้องเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ หรือ หากรายได้ภาครัฐในอนาคตอาจะหลุดเป้าจากภาวะ เศรษฐกิจที่ซบเซามากกว่าที่คาด จะยิ่งน่ากังวลมากขึ้น 

รัฐบาลจะเหลืองบลงทุนครึ่งเดียวในอีก 10 ปีข้างหน้า 

นอกจากประเด็นวินัยทางการคลังในระยะสั้นที่น่าเป็นห่วงแล้ว ในระยะข้างหน้า KKP Research คาดว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลจะมีข้อจำกัดอย่างมาก โดยอาจจะแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย 

  • ภาระดอกเบี้ยและการชำระคืนเงินต้นจากหนี้สาธารณะที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลดลงจากการมีหนี้สาธารณะที่สูงเกินไป จนกระทบต่อต้นทุนดอกเบี้ยของ ทั้งต่อภาครัฐและต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมด้วย
  • สังคมผู้สูงอายุที่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการปรับเพิ่มขึ้นสูงขึ้น จากปัจจุบันที่ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการผู้สูงอายุเติบโตประมาณ 2.3% ต่อปี หากเพิ่มขึ้นเป็น 4% ต่อปี สัดส่วนของสวัสดิการรักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้นเป็นครึ่งหนึ่งของงบประมาณในแต่ละปี และยังไม่รวมกับสวัสดิการผู้สูงอายุอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มจะต้องเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต โดยทุก ๆ 1,000 บาทต่อเดือนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นใช้งบประมาณเกือบ 2 แสนล้านต่อปีในปัจจุบันและเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 3 แสนล้านบาทในอีก 15 ปีข้างหน้า
  • ขนาดของภาครัฐที่ขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวของบุคลากรภาครัฐที่มากขึ้น โดยหากประเมินจากงบประมาณบุคลากรเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 2% 

แนะขยายฐานภาษี - ปฏิรูปภาครัฐ 

ทั้งนี้  จากข้อจำกัดข้างต้นหากรัฐบาลไม่เริ่มขยับตัวตั้งแต่วันนี้ในการปฏิรูปภาครัฐอย่างจริงจัง ทั้งด้านการใช้จ่ายและรายรับของรัฐบาลก็อาจจะไม่ทันการณ์ที่จะรองรับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่ได้เริ่มเกิดขึ้น

การปฏิรูปรายจ่ายของรัฐบาลมักจะเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงค่อนข้างมากและมีข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐให้เงินแต่ละบาทที่ใช้จ่ายไปสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าเงินที่ใช้ไป ไปจนถึงการลดขนาดของรัฐ  แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการปฏิรูปการใช้จ่ายของรัฐเพียงด้านเดียวยังไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบภาษีที่นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กันด้วย

การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีให้อย่างน้อยประชากรและธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในระบบภาษี จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญที่สุด เช่น การกำหนดแรงจูงใจให้ผู้มีรายได้ต้องยื่นภาษี หรือการจัดทำระบบการยื่นภาษีที่สะดวกและเข้าใจง่ายมากขึ้น จะช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐบาลได้

รวมไปถึง เสนอให้แก้ไขการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วน 150,000 บาทแรก หรือการลดหรือเพิ่มการลดหย่อนภาษีหรือการหักค่าใช้จ่ายในบางรายการให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น

ขณะที่การปรับขึ้นภาษีอาจจะจำเป็นในกรณีสุดท้าย โดยควรจะเริ่มจากภาษีที่บิดเบือนระบบเศรษฐกิจในระดับต่ำก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาษีมรดก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือภาษีที่ลดทอนพฤติกรรมบางอย่างที่อาจสร้างต้นทุนต่อสังคมในระยะยาว อย่างเช่นภาษีสรรพสามิตบุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนภาษีที่บิดเบือนพฤติกรรมโดยทั่วไปอย่างภาษีเงินได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลอาจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เลือกใช้

ที่มา : KKP Research 

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ