
จาก “สารตั้งต้น” ที่ต้องการช่วยให้ประชาชนเดินทางด้วย “ระบบขนส่งสาธารณะ” ได้อย่างสะดวกปลอดภัย ในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งช่วยลดฝุ่นพิษ PM.2.5 จากการจราจรที่ติดขัดในช่วงที่ผ่านมา
กระทรวงคมนาคม จึงได้เร่งการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดย “นโยบายเรือธง” ที่ต้องการเร่งดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว คือการสร้างระบบตั๋วร่วม ทำให้ประชาชนมีตั๋วใบเดียว แต่สามารถเดินทางขึ้นรถ ลงเรือ ต่อรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทุกสีทุกสายทาง” ที่เจ้ากระทรวงลั่นวาจาไว้ว่า จะต้องเกิดขึ้นภายในเดือน ก.ย.68 นี้
ต่อเนื่องด้วยการเร่งรัดการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายทางต่างๆที่คั่งค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ รวมทั้งจัดหารถไฟฟ้าเพื่อนำมาวิ่งในเส้นทางที่ยังติดขัดไม่สามารถเปิดให้บริการได้ เนื่องจากในปัจจุบัน แม้ว่าโครงข่ายรถไฟฟ้า ที่รัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้างและเปิดให้บริการมาแล้ว จะมีมากถึง 13 เส้นทาง รวม 194 สถานี ระยะทางรวมกว่า 276.84 กิโลเมตร (กม.) แต่หากเทียบกับแผนพัฒนารถไฟฟ้าทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่มีแผนดำเนินการสร้างรวมกว่า 553.41 กม. ถือว่าทำได้ 50% กว่าเท่านั้น
และขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการเดินหน้าแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนระยะที่ 2 (M-MAP 2) เพื่อเร่งรัดการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าในสายทางที่จำเป็นต้องก่อสร้างเร่งด่วน และการเตรียมความพร้อมขยายโครงข่ายใยแมงมุมของระบบรถไฟฟ้าไทยให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยขยายเส้นทางที่มีอยู่แล้วให้ซอกซอนเข้าไปรองรับประชาชนในพื้นที่กว้างมากขึ้น และเพิ่มสายทางใหม่อีก 3 สายทาง
ซึ่งหลังจากคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 มีมติเห็นชอบ ให้โอนภารกิจโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ จากเดิมที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไปยังกระทรวงคมนาคม 3 โครงการ คือ รถไฟฟ้าสายสีเงิน (บางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) รถไฟฟ้าสายสีเทา (ระยะที่ 1) (วัชรพล-ทองหล่อ) และรถไฟฟ้าสายสีฟ้า (ดินแดง-สาทร)
คนในพื้นที่ต่างตื่นตัวและตั้งตารอว่า ทั้ง 3 สายทางใหม่นี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ และใช้เวลานานไหมถึงจะได้ใช้บริการ
“ทีมเศรษฐกิจ” หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มีโอกาสสัมภาษณ์ “นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์” อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เพื่อมาตอบข้อสงสัยทั้งหมดนี้ และฉายภาพให้เห็นชัดเจนในสิ่งที่รัฐบาลมีแผนแม่บทในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางที่จะดำเนินการอย่างไรในอนาคต
“ภายใต้แผนการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง กระทรวงคมนาคมเร่งเดินหน้านโยบายเรือธงของรัฐบาล โดยเฉพาะ “นโยบาย 20 บาทตลอดสาย” ที่จะต้องเกิดขึ้นทุกสาย ทุกสี ภายในเดือน ก.ย.68 ซึ่งคาดว่าจะทำได้อย่างแน่นอน” นายพิเชฐ ย้ำเป้าหมาย ซึ่งเป็นนโยบายที่คนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯและปริมณฑลให้ความสนใจอย่างยิ่งให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ฟัง
โดยในเบื้องต้นจะดำเนินนโยบายนี้ในระยะเวลา 2 ปี เนื่องจากกระทรวงคมนาคมได้เตรียมนำเงินจากกองทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มาอุดหนุน ซึ่งนโยบายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายนี้จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน กระตุ้นให้มีการใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ขณะเดียวกันจะช่วยบรรเทาปัญหามลพิษฝุ่น PM 2.5 และลดปัญหาการจราจรติดขัดในเขตเมืองด้วย
ขณะที่การเร่งรัดในส่วนของ “ตั๋วร่วม” ที่จะนำมาใช้เพื่อให้การเดินทางเชื่อมต่อด้วยบัตรใบเดียว แต่สามารถขึ้นเชื่อมต่อได้ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ นั้น ขณะนี้มี ความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... อย่างมาก เนื่องจากได้ผ่านการพิจารณาในวาระที่ 1 ของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการวิสามัญ
“ทั้งสองร่างมีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง เนื่องจากเป็นกฎหมายกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งทางราง ด้วยการนำเทคโนโลยีบัตรเดียวมาใช้ในการชำระค่าโดยสารขนส่งสาธารณะทุกระบบ ทั้งระบบราง รถ และเรือ เป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน”
โดย ร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. .... ได้มีการประชุมพิจารณามาแล้ว 13 ครั้ง และได้พิจารณาครบทุกมาตรา เหลือเพียงบทเฉพาะกาล ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จภายในระยะเวลาอันใกล้ ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ก็อยู่ระหว่างการพิจารณา และมีความคืบหน้าในการดำเนินงาน คาดว่าจะเสร็จได้ทันกับการใช้บังคับตามนโยบายรัฐบาลใน เดือน ก.ย.68 ได้เช่นเดียวกัน
ขณะที่การเร่งรัดการก่อสร้างและการเปิดใช้บริการรถไฟฟ้าสายทางต่างๆนั้น นายพิเชฐ ขยายความว่า ขณะนี้การเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพฯและปริมณฑลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ โดยกระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะผุดโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆเพิ่มเติม โดยให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ไปศึกษาและจัดทำรายละเอียด ภายใต้ แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนระยะที่ 2 (M–MAP 2) เพื่อขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมมากขึ้น
โดย M–MAP 2 จะถือเป็นโรดแม็ปสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของระบบรางในอนาคต โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ลดภาระจราจรบนถนน และทำให้การขนส่งมวลชนเป็นทางเลือกหลักของประชาชน ซึ่งจะแบ่งโครงข่ายรถไฟฟ้าออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ
1.กลุ่ม A1 : เส้นทางที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและพร้อมดำเนินการทันที มี 4 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.รถไฟฟ้าสายสีแดง เส้นทางรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 2.รถไฟฟ้าสายสีแดง เส้นทางตลิ่งชัน-ศาลายา 3.รถไฟฟ้าสายสีแดง เส้นทางตลิ่งชัน-ศิริราช 4.รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล เส้นทางแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม)
2.กลุ่ม A2: เส้นทางที่มีความจำเป็น แต่ต้องเตรียมความพร้อมก่อน และคาดว่าดำเนินการภายในปี 72 จำนวน 6 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.สายสีแดง บางซื่อ-หัวลำโพง 2.สายสีเขียว สนามกีฬาแห่งชาติ-ยศเส 3.สายสีเขียว บางหว้า-ตลิ่งชัน 4.สายสีแดง วงเวียนใหญ่-บางบอน5.สายสีเงิน บางนา-สุวรรณภูมิ และ 6.รถไฟฟ้าสายสีเทา วัชรพล-ทองหล่อ
3.กลุ่ม B : เส้นทางที่มีศักยภาพ ซึ่งผ่านการศึกษาความคุ้มค่าไปแล้ว รวมถึงเส้นทางใหม่ที่มีปริมาณผู้โดยสารถึงเกณฑ์ที่จะพัฒนาเป็นระบบรถไฟฟ้าและรอการพิจารณาเพิ่มเติมในปี 72 มีทั้งหมด 9 เส้นทาง ประกอบด้วยเส้นทาง ได้แก่ 1.รถไฟฟ้าสายสีฟ้า ดินแดง-สาทร 2.รถไฟฟ้าสายสีเขียว คูคต-วงแหวนรอบนอก 3.รถไฟฟ้าสายสีเทา วัชรพล-ลำลูกกา 4.รถไฟฟ้าสายสีเทา พระโขนง-ท่าพระ 5.รถไฟฟ้าสายสีแดง หัวลำโพง-วงเวียนใหญ่ 6.รถไฟฟ้าสายสีแดง บางบอน-มหาชัย-ปากท่อ 7.รถไฟฟ้าสายสีเขียว เคหะฯ-ตำหรุ 8.รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑล สาย 4 และ 9.รถไฟฟ้าสายสีเขียว ตลิ่งชัน-รัตนาธิเบศร์
และ 4.กลุ่ม C : เส้นทาง Feeder รองรับโครงข่ายหลัก เป็นโครงการที่จะมีการพัฒนาเส้นทางเพื่อพัฒนาโครงการตามแผนการพัฒนาโครงข่ายขนส่งมวลชนระบบราง คาดว่าจะมีระยะทางรวมทั้งสิ้น 343.7 กม. โดยแบ่งเป็น 4 ช่วง คือ 1.ปี 68 การให้บริการรถไฟฟ้ามีระยะทาง 279.84 กม. มีจำนวนสถานี 167 สถานี 2.ปี 73 การให้บริการรถไฟฟ้ามีระยะทาง 387.81 กม. มีจำนวนสถานี 243 สถานี 3.ปี 78 การให้บริการรถไฟฟ้ามีระยะทาง 449.02 กม. มีจำนวนสถานี 295 สถานี และ 4.ปี 83 การให้บริการรถไฟฟ้ามีระยะทาง 581.37 กม. มีจำนวนสถานี 377 สถานี
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้พิจารณาโครงการเร่งด่วน 4 เส้นทางหลักที่ต้องเร่งดำเนินการทันที ซึ่งทั้ง 4 เส้นทางก็อยู่ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนระยะที่ 2 (M-MAP2) ประกอบด้วย 1.รถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงรังสิต–มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางนี้ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 68 และเปิดให้บริการปี 71
โครงการที่ 2 และ 3 คือ โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงศิริราช–ตลิ่งชัน–ศาลายา ระยะทาง 20.50 กม. ซึ่งเดิมโครงการนี้แบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ ตลิ่งชัน–ศิริราช และตลิ่งชัน–ศาลายา แต่ขณะนี้ได้มีการรวมเป็นโครงการเดียว โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอ ครม. พิจารณา และโครงการที่ 4 โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย–บึงกุ่ม–ลำสาลี ระยะทาง 22.10 กม. ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ นโยบายค่าโดยสาร 20 บาท และบูรณาการร่วมกับทางด่วน N2
โดยทั้ง 4 โครงการนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการขยายโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางที่สะดวกและเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ ขณะนี้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่น และพร้อมรองรับความต้องการเดินทางของประชาชนในอนาคต
อธิบดี พิเชฐ ยังได้อัปเดตต่อถึงความคืบหน้าของแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า นอกเหนือจากโครงข่ายรถไฟฟ้าหลากสี หลากเส้นทางที่รัฐบาลได้สร้างและเปิดให้บริการมาต่อเนื่อง ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 13 เส้นทาง รวม 194 สถานี มีระยะทางรวมกว่า 276.84 กม. ซึ่งต้องเร่งดำเนินการเพื่อขยับจากที่แล้วเสร็จในขณะนี้กว่า 50% ของแผนพัฒนารถไฟฟ้าทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลให้เพิ่มขึ้นเป็น 100% ตามแผนพัฒนาที่จะต้องดำเนินการสร้างรวมกว่า 553.41 กม.
ขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ โอนภารกิจรถไฟฟ้าสายใหม่ ไปยังกระทรวงคมนาคม ทั้ง 3 เส้นทาง ได้แก่ 1.รถไฟฟ้าสายสีเงิน (บางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) 2.รถไฟฟ้าสายสีเทา (ระยะที่ 1) (วัชรพล-ทองหล่อ) 3.รถไฟฟ้าสายสีฟ้า (ดินแดง-สาทร) และการผลักดัน แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนระยะที่ 2 (M-MAP 2) ที่ทุกคนจับตามองว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน
“ถือเป็นก้าวที่สำคัญเพื่อให้การเดินทางที่ไร้รอยต่อ เนื่องจากการโอนภารกิจความรับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ ถือเป็น 3 โครงการที่อยู่ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนระยะที่ 2 (M– MAP 2) และการโอนความรับผิดชอบ ก็เพื่อให้ การพัฒนาโครงข่ายระบบรางมีความสอด คล้อง และเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
โดยจากเดิมโครงข่ายรถไฟฟ้าในปัจจุบันจะเป็นเส้นทางหลักที่วิ่งเชื่อมต่อจากทางเหนือของ กรุงเทพฯไปทางใต้ของกรุงเทพฯ จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก แต่โครงข่ายรถไฟฟ้า M-MAP 2 ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการสร้างโครงข่ายที่มีการเชื่อมต่อจากชุมชน จากเส้นทางหลักไปยังเส้นทางรอง และเข้าไปเชื่อมต่อชุมชน เพื่อให้โครงข่ายใยแมงมุมครอบคลุมทุกพื้นที่ในการเดินทาง
ดังนั้น พันธกิจหลัก และเป้าหมายสำคัญของการโอนภารกิจครั้งนี้ คือ การบูรณาการระบบขนส่งสาธารณะให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชน ซึ่งล่าสุด การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กำลังดำเนินการรวบรวมข้อมูลร่วมกับสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กทม. เพื่อทำรายละเอียดของโครงการ ทั้งการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าเดิม และจุดเชื่อมระบบขนส่งมวลชนประเภทอื่นๆ ก่อนที่จะเข้าไปสู่การเดินหน้าร่างข้อกำหนดและเงื่อนไขของงาน (TOR) ต่อไป
“จากการวางแผนแม่บทเพื่อพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางของไทยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ถือได้ว่าอนาคตของระบบขนส่งทางรางไทย กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมเป็นโครงข่ายหลักที่เชื่อมโยงเมือง และผู้คนเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง
กระทรวงคมนาคม และกรมราง ยังตั้งความหวังให้การพัฒนาระบบราง จะยังมีบทบาทสำคัญในการลดปัญหาการจราจร ลดมลพิษ และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก และการขยายตัวของศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศ” นายพิเชฐ กล่าวทิ้งท้าย.
ทีมเศรษฐกิจ