
รายงานภาวะสังคมไทยปี 2567 จาก สภาพัฒน์ฯ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ชี้ว่า แม้ภาพรวมความยากจนหลายมิติในประเทศไทยดีขึ้น จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังมีคนไทยจำนวนมากที่ประสบปัญหานี้ ที่ทั้งยากจนด้านการเงินและคุณภาพชีวิต
โดยใจความระบุว่า แม้ช่วงที่ผ่านมา รัฐมีนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีผู้ได้รับสวัสดิการประมาณ 14 ล้านคนให้เงินอุดหนุน ค่าครองชีพกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งค่าอาหาร ก๊าซหุงต้ม ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้าและน้ าประปา จึงมีส่วนช่วยให้ ผู้มีรายได้น้อยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณา จาก ตัวชี้วัด MPI สะท้อนความจนหลายมิติ ทั้ง การใช้อินเทอร์เน็ต การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด การกำจัดขยะที่เหมาะสม การเข้าถึงการศึกษา และ การมีบำเหน็จบำนาญ
โดยในปี 2566 ยังมีคนจนหลายมิติจำนวนกว่า 6.13 ล้านคน ทั้งนี้ คนจนในประเทศไทยอาจสามารถ แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1.กลุ่มคนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว
2.กลุ่มคนจนด้านตัวเงินและคนจน หลายมิติ
3.กลุ่มคนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ มีคนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน ที่เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ เมื่อพิจารณาคนจนหลายมิติ ตามระดับความรุนแรง พบว่า คนจนหลายมิติโดยส่วนใหญ่เป็นคนจนน้อย โดยมีความขัดสนมากกว่า 1 มิติ แต่ไม่ถึง 2 มิติ จาก 4 มิติ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสมากในการลดจำนวนคนจนหลายมิติลงได้อีก
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีคนที่เสี่ยงจะตกเป็นคนจนหลายมิติอีกจำนวนกว่า 24 ล้านคน หรือ คิดเป็นสัดส่วน 34.7% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจกลายเป็นคนจนหลายมิติได้ง่าย
โดยหากพิจารณาคนกลุ่มนี้ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง และมีรูปแบบ ความขัดสนคล้ายกับคนจนหลายมิติในภาพรวม กล่าวคือ มีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด รองลงมาเป็นการกำจัดขยะและการถือครองสินทรัพย์
ทั้งนี้ หากพิจารณาคนกลุ่มนี้โดยจำแนกเป็นรายภาค จะพบว่า คนเกือบจนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนของคนที่ขัดสนด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญ เท่ากัน และสูงถึง 70.5% ต่างกับภูมิภาคอื่นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 57.4%
อาจกล่าวสรุปได้ว่า มิติที่ส่งผลต่อ ความยากจนหลายมิติของคนไทยมากขึ้น คือ ความมั่นคงทางการเงิน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเงินทั้งในปัจจุบันและในยามเกษียณ ยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลให้เกิด ความยากจน
อีกทั้งรูปแบบการทำงาน ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนรุ่นใหม่ยังอาจทำให้แรงงานในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะไม่มีหลักประกันในยามเกษียณ ขณะเดียวกัน มิติความมั่นคงทางการเงินยังครอบคลุมถึงการออม และภาระทางการเงิน ซึ่งสถานการณ์ ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับระดับของหนี้สินครัวเรือนที่ยังคงสูง อาจส่งผลให้ ครัวเรือนมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นและมีการออมลดลงได้
ที่มา : สภาพัฒน์
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney