
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคว่า เดือนม.ค. 68 ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และสูงสุดในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 67 ส่วนดัชนีการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้านหลังใหม่ ซื้อรถยนต์ การท่องเที่ยว ก็ดีขึ้นเช่นกัน หลังจากเศรษฐกิจไทยซึมตัวยาวช่วงที่ผ่านมา เพราะไม่มีการใช้งบประมาณภาครัฐมาตั้งแต่เดือนเม.ย. 66-เม.ย. 67 แต่เมื่อรัฐบาลเริ่มใช้จ่ายเงินงบประมาณ เศรษฐกิจเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่ก็เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลายปี ทำให้เศรษฐกิจซึมตัวอีกครั้ง ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างนิ่งในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคคลายความกังวลลงได้ แม้การเมืองไทยยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก
“ขณะนี้ เศรษฐกิจเริ่มเงยหัวขึ้นแล้ว เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น และการท่องเที่ยวในประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังคงมองว่า ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% สอดคล้องกับที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ 3-3.5%”
ทั้งนี้เพราะปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสหรัฐฯ กับนานาประเทศ ยังไม่เห็นแนวโน้มรุนแรงขึ้น เพราะสหรัฐฯ ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพียง 10% ยังไม่ถึงระดับสูงสุดที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์หาเสียงไว้ที่ 65% ขณะที่การเพิ่มภาษีจากประเทศอื่นยังไม่ชัดเจน แต่เปลี่ยนจากการขึ้นภาษีเป็นรายประเทศ มาเป็นรายสินค้าแทน ที่ยังคงพุ่งเป้าไปที่ประเทศจีน ที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียม