
ยสท.เดินหน้าส่งเสริมเกษตรกรปลูกยาสูบเพิ่ม เปิดรับซื้อใบยาไม่อั้น เร่งทำตลาดส่งออกใบยา หลังทั่วโลกขาดแคลน เหตุสภาพอากาศแปรปรวน ดันราคาใบยา“เวอร์ยิเนีย–เบอร์เลย์” พุ่งไม่หยุด หวังเดินหน้าพลิกรายได้และกำไรให้ ยสท. พ้อ! อดีตเคยมีกำไร 9,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือ 700 ล้านบาท
นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า จากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทั่วโลกส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ผลผลิตใบยาทั่วโลกลดลง จนเกิดปัญหาใบยาขาดแคลน อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยมีปริมาณใบยาสูบเพิ่มขึ้น จากการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกใบยาในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้จำนวนเกษตรกรที่ทำสัญญากับ ยสท.จะลดลงต่อเนื่องจาก 40,000-50,000 คน ลดเหลือ 22,000 คน เนื่องจากราคาใบยาสูบตกต่ำ ทำให้เกษตรกรต้องหันไปปลูกพืชอื่นๆทดแทน แต่ขณะนี้ราคาใบยาเริ่มขยับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ยสท.จึงถือเป็นโอกาสของเกษตรกรไทยที่จะปลูกยาสูบ โดยต้องขึ้นทะเบียนกับ ยสท. เพราะเป็นพืชที่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐเท่านั้นและจากการขาดแคลนใบยาทั่วโลก ทาง ยสท.จึงต้องการผลักดันให้ใบยาสูบไทยส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกบุหรี่ไทยไปต่างประเทศด้วย โดยการส่งออกบุหรี่จะเน้นกลุ่มประเทศที่มีคนไทยทำงานอยู่ เพราะคนไทยในต่างประเทศยังคงสูบบุหรี่ไทย เช่น เกาหลีใต้ อิสราเอล พม่า กัมพูชา เป็นต้น
ส่วนการส่งออกใบยาสูบนั้นจะส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นการส่งออกผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือโบรกเกอร์ เพราะ ยสท.ส่งออกเองไม่ได้ ซึ่งการผลักดันให้มีการส่งออกใบยาเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นอีกช่องทางที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ชาวไร่ยาสูบ และ ยสท.จะเปิดรับซื้อใบยาทั้งสายพันธุ์เวอร์ยิเนีย เบอร์เลย์และเตอร์กิช แบบไม่จำกัดจำนวน หากชาวไร่มีผลผลิตสามารถนำมาจำหน่ายให้กับ ยสท.ได้
“การเปิดรับซื้อใบยาสูบแบบไม่จำกัดจำนวนทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น จากเดิมราคาใบยาสูบเบอร์เลย์ ราคากิโลกรัมละ 50 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 78 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ขณะที่เวอร์ยิเนีย กก.ละ 100-110 บาท ปัจจุบัน 120 บาทต่อ กก. โดย ยสท.จะเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยให้ใบยาปรับราคาเพิ่มขึ้น ด้วยการขยายเวลาการซื้อใบยาออกไป”
นายภูมิจิตต์กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงเดือน ส.ค. -ก.ย.67 ทำให้เกษตรกรต้องเลื่อนการปลูกยาออกไป และเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือน ธ.ค.67-ม.ค.68 ต้องเผชิญสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติและหนาวนานกว่าทุกปีในพื้นที่ภาคเหนือ จึงส่งผลให้ใบยาสูบแก่ช้าลง ทำให้ชาวไร่ต้องใช้เวลานานขึ้นในการเก็บเกี่ยว และประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานคัดแยกเกรดของใบยา
ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ยสท.จึงได้เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการรับซื้อใบยาสูบออกไป สำหรับใบยาสูบพันธุ์เวอร์ยิเนีย รุ่นต้นฤดู จากเดิมมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 15 ก.พ.68 ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 28 ก.พ.2568 และใบยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ รุ่นกลางฤดู จากเดิมมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 11 เม.ย.68 ขยายเวลาเป็นวันที่ 30 เม.ย.68 ซึ่งการขยายเวลาในครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ เพราะช่วยให้ชาวไร่มีระยะเวลาในการจำหน่ายใบยาสูบให้กับ ยสท.เพิ่มขึ้น เนื่องจากใบยาเวอร์ยิเนียรุ่นต้นฤดูจะมีราคาสูงกว่ารุ่นปลายฤดู กิโลกรัมละ 3 บาท และใบยาเบอร์เลย์รุ่นกลางฤดูจะมีราคาสูงกว่ารุ่นปลายฤดู กิโลกรัมละ 2 บาท จึงส่งผลให้ชาวไร่ยาสูบมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการขยายเวลารับซื้อใบยาในฤดูกาลนี้
นอกจากมาตรการขยายเวลารับซื้อแล้ว ยสท.ยังคงเดินหน้าสนับสนุนชาวไร่ยาสูบในทุกมิติ โดย ยสท.ตระหนักถึงความสำคัญของชาวไร่ในฐานะฟันเฟืองสำคัญของอุตสาหกรรมยาสูบไทย เช่น โครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเพาะปลูก โครงการสนับสนุนแหล่งน้ำและระบบน้ำหยด ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โครงการศูนย์เผยแพร่การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน ช่วยให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมี
นอกจากนี้ยังมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ พร้อมเยียวยาและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสนับสนุนงบประมาณให้โรงบ่มใบยาเบอร์เลย์ สำหรับโรงบ่มสร้างใหม่ โรงละ 50,000 บาท และการต่อเติมโรงบ่มเดิม โรงละ 30,000 บาท โดยในปีงบประมาณ 67 ชาวไร่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ได้รับการสนับสนุนก่อสร้างโรงบ่ม 19 โรง และต่อเติมโรงบ่มอีก 20 โรง โดย ยสท.ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้แนวทางที่สมดุลระหว่างภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชาวไร่ พร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมยาสูบไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
“เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบเป็นเกษตรกรที่จะได้รับจัดสรรโควตาการรับซื้อ เช่นเดียวกับชาวไร่อ้อย เป็นพืชเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่กำหนดโควตาการรับซื้อ ซึ่ง ยสท.เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย”
นายภูมิจิตต์ยังได้กล่าวถึงปัญหาของ ยสท.ในช่วงที่ผ่านมาว่า ปัญหาบุหรี่เถื่อนที่ยังคงทะลักเข้าประเทศไทยอย่างมากถือเป็นปัญหาสำคัญ เพราะคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 25% ของตลาดยาสูบไทย ถึงแม้ทางการจะพยายามเร่งรัดปราบปรามคุมเข้มบุหรี่เถื่อน แต่ยังมีการลักลอบนำเข้าอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ปัจจุบันมีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านราย เนื่องจากหาซื้อง่ายผ่านออนไลน์ และราคาถูก ขณะที่บุหรี่มวน ราคาแพงขึ้นหลังจากมีการปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา
สำหรับประเด็นเรื่องภาษีบุหรี่ที่ปรับขึ้น หรือจะปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่อีกครั้ง ตามคำเรียกร้องของหลายฝ่ายนั้น ยสท.ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล แต่สิ่งที่ทุกคนรับทราบข้อมูล คือ รายได้จากภาษียาสูบและบุหรี่ลดลงทุกปีตั้งแต่ 2560 จาก 60,000 ล้านบาท เหลือ 51,000 ล้านบาทในปี 2567 ดังนั้น เรื่องโครงสร้างภาษีบุหรี่จึงขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
เช่นเดียวกับรายได้และกำไรของ ยสท. จากเคยมีกำไร 9,000 ล้านบาท เหลือกำไร 100 ล้านบาท และปี 67 ที่ผ่านมา ยสท.พยายามปรับการดำเนินการ พัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยาสูบ ทั้งส่งออกบุหรี่ไทยไปต่างประเทศ รับซื้อใบยาสูบ เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และธุรกิจอื่นๆ ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าในปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 700-800 ล้านบาท และพยายามลดต้นทุนองค์กร เพื่อให้องค์กรอยู่รอดได้ พร้อมกับดูแลเกษตรกรชาวไร่ยาสูบให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่