ส.อ.ท.ปลื้ม “เอกนัฏ” เข้มคุมสินค้า มอก. จัดระเบียบโรงงานป้องกันภัยซ้ำซากไม่หวั่นเกรงผู้มีอิทธิพล

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ส.อ.ท.ปลื้ม “เอกนัฏ” เข้มคุมสินค้า มอก. จัดระเบียบโรงงานป้องกันภัยซ้ำซากไม่หวั่นเกรงผู้มีอิทธิพล

Date Time: 24 ม.ค. 2568 09:28 น.

Summary

  • ภาคเอกชนหนุนมติ กกร. เร่งภาครัฐใช้มาตรการทางการค้าเข้มข้น ป้องกันการทะลักของสินค้าต่างประเทศ เชียร์กระทรวงอุตสาหกรรมเข้มคุมสินค้า มอก.และจัดระเบียบโรงงานป้องกันภัยซ้ำซาก

Latest

สกุลเงินดิจิทัลมีกี่รูปแบบ CBDC แตกต่างจาก Stablecoin และ Cryptocurrency อย่างไร?

ภาคเอกชนหนุนมติ กกร. เร่งภาครัฐใช้มาตรการทางการค้าเข้มข้น ป้องกันการทะลักของสินค้าต่างประเทศ เชียร์กระทรวงอุตสาหกรรมเข้มคุมสินค้า มอก.และจัดระเบียบโรงงานป้องกันภัยซ้ำซาก

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก แสดงความเห็นด้วยยิ่งกับมติล่าสุดของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ซึ่งกังวลต่อการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ และเสนอต่อรัฐบาลว่านอกจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) แล้ว กระทรวงพาณิชย์ต้องกล้าใช้มาตรการอื่นๆด้วยตามความจำเป็น ได้แก่ มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard : SG) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) เพื่อให้การปกป้องผู้ประกอบการในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์

นายนาวาชี้ว่า สงครามการค้าโลกเริ่มรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่ มร.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยแรก และอเมริกาได้ใช้มาตรา 232 (Section 232) อ้างเหตุความมั่นคงของชาติ ตามกฎหมายการขยายการค้า (Trade Expansion Act) ปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard : SG) กับสินค้าเหล็กตั้งแต่ปี 2561 โดยกำหนดอากร 25% กับสินค้าเหล็กทุกประเภท ตามมาด้วยสหภาพยุโรปได้ใช้อากร Safeguard 25% กับสินค้าเหล็กเช่นกัน โดยทั้งอเมริกาและสหภาพยุโรปได้ใช้มาตรการดังกล่าวมา 7 ปีต่อเนื่องแล้ว และยังขยายการกีดกันการนำเข้าสินค้าประเภทอื่นๆมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในปี 2567 ประเทศที่มีการส่งออกสินค้าสูงสุดในโลก คือ จีน ส่งออกสินค้ามูลค่ามากถึง 3.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าการส่งออกของประเทศไทยถึง 12.4 เท่าตัว โดยในระยะหลังนี้ เมื่อจีนถูกอเมริกาและสหภาพยุโรปใช้มาตรการกีดกันทางการค้ามากขึ้น จีนได้พุ่งเป้าส่งออกสินค้ามายังประเทศกลุ่ม Belt and Road Initiative มากขึ้นจนมีสัดส่วนการค้ามากกว่า 50% ของการค้าทั่วโลกของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคอาเซียน จนกระทั่งจีนขึ้นเป็นทั้งผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่สุดมายังอาเซียน และเป็นผู้นำเข้าสินค้าจากอาเซียนมากที่สุดในช่วง 5 ปีหลังนี้ ยกตัวอย่างเฉพาะสินค้าเหล็ก ในปี 2567 จีนได้ส่งออกสินค้าเหล็กมาอาเซียนกว่า 40 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนมากเกือบ 40% ของการส่งออกเหล็กจีนไปทั่วโลก ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการค้าเพื่อปกป้องการจ้างงานของอุตสาหกรรมต่างๆ และเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศไทยด้วย โดยในระยะ 14 ปีหลังนี้ (ปี 2554-ปัจจุบัน) ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่มีการใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) ได้แก่ อินโดนีเซีย 25 มาตรการ เวียดนาม 5 มาตรการ ฟิลิปปินส์ 4 มาตรการ มาเลเซีย 3 มาตรการ ในขณะที่ประเทศไทยไม่ได้ใช้มาตรการ Safeguard มากว่า 6 ปีแล้ว

นายนาวากล่าวอีกว่า ขณะนี้ภาคเอกชนและประชาชนจับตาดูและชื่นชมกระทรวงอุตสาหกรรม นำโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งได้ดำเนินการหลายมาตรการทั้งการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานบางประเภท ซึ่งประเทศไทยมีกำลังการผลิตสูงเกินพออยู่แล้ว รวมถึงเข้มงวดการดำเนินการทั้งตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และ พ.ร.บ.โรงงาน โดยได้สั่งปิดหลายโรงงานที่ผลิตสินค้าไม่เป็นไปตาม มอก.บังคับ และฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัยในโรงงาน โดยให้กิจการดังกล่าวดำเนินการปรับปรุงให้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงดำเนินคดีผู้กระทำผิดตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยไม่หวั่นเกรงผู้มีอิทธิพล เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก

ทั้งนี้ หากเป็นบริษัทที่ละเลยในเรื่องดังกล่าวหรือฝ่าฝืนกฎหมายหลายครั้งซ้ำซาก ควรโดนมาตรการที่เข้มข้นยิ่งไปอีก ทั้งนี้ ส.อ.ท. นำโดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. มีนโยบายให้ทุกโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยดำเนินกิจการโดยให้ความสำคัญลำดับต้นต่อความปลอดภัยของประชาชนและพนักงานในโรงงาน รับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ มุ่งประโยชน์ที่ยั่งยืนอย่างมีวินัย ไม่มุ่งเน้นเพียงเป้าหมายเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน หรือการลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ จนละเลยการดำเนินการตามกฎหมายโรงงาน หรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ส.อ.ท.จึงสนับสนุนกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องเข้มงวดกวดขันเพื่อกำจัดและไม่ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมโดยพฤติกรรมดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อประชาชน ชีวิตพนักงาน มีความเสี่ยงต่อชุมชนรอบข้าง และได้เปรียบผู้ประกอบอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและเน้นความยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social and Governance)


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ