
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน “ทองคำ” เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-heaven asset) ที่ทำหลายหน้าที่ ทั้งเป็นหลักประกัน และการสะสมความมั่งคั่ง ตั้งแต่ระดับประเทศ ลงมาจนถึงระดับบุคคล มาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นการถือครองเพื่อเป็นทุนสำรองของธนาคารกลางแต่ละประเทศ การลงทุน เครื่องประดับ ไปจนถึง การใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีทองคำเป็นส่วนประกอบ
อย่างไรก็ดี ข้อมูลของ SCB EIC (ธนาคารไทยพาณิชย์) ระบุว่า นับตั้งแต่ โลกเกิดภาวะสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวน ของราคาสินค้า เรื่อยไปจนถึง สถานการณ์เศรษฐกิจหลายประเทศชะลอตัว ทำให้การเข้าถือครองทองคำ มีมากขึ้น และนำมาซึ่งความผันผวนของราคา แบบที่คาดเดาไม่ได้
สำหรับการถือครอง “ทองคำ” ระดับบุคคลนั้น ในรูปแบบ ทองรูปพรรณ เครื่องประดับ ทองคำแท่ง และเหรียญทองคำ จากความมั่งคั่งของประชากรในประเทศ รวมไปถึง การเป็นศูนย์กลางทางการค้า และการสกัดทองคำ ทำให้ ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มีประชากรถือครอง “ทองคำ” มากที่สุดในโลก
ส่วนประเทศไทย ในอดีตที่ผ่านมา ไทยมีการผลิตทองคำได้ปีละ 3-5 ตัน เป็นสัดส่วนราว 0.1% ของปริมาณการผลิตทองคำทั้งโลก จากการทำเหมืองทองคำไทย รวม 4,706 ไร่ ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในจังหวัด ได้แก่ พิจิตร เลย และเพชรบูรณ์ โดยมี สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นประเทศคู่ค้าหลักในการนำเข้าและส่งออกทองคำของไทย
ขณะในแง่ธุรกิจค้าทองคำไทยนั้น ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ปัจจุบัน ไทยมีจำนวนผู้ประกอบการ ในธุรกิจค้าทอง ราว 9,000 ราย ซึ่งทั้งผู้ค้าทองรายใหญ่ ไปจนถึงรายกลางและเล็ก
ภายใต้รูปแบบการสร้างรายได้จากการประกอบธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป ความน่าสนใจของข้อมูล จะพบว่า แม้จำนวนผู้ค้าทองรายกลาง และเล็กจะมีสัดส่วนกว่า 97% ของจำนวนผู้ค้าทองโดยรวมทั้งประเทศ แต่ผู้ค้าทองรายใหญ่ ซึ่งมีรายได้มากกว่า 200 ล้านบาท/ปี จำนวนราว 300 ราย ยังคงครองส่วนแบ่งรายได้ส่วนใหญ่ในตลาด โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 93 % ของรายได้ธุรกิจร้านทองโดยรวมทั้งประเทศ
ความได้เปรียบของผู้ค้าทองรายใหญ่ คือ การสร้างรายได้ที่หลากหลายกว่า เช่น บริการซื้อขาย จำหน่ายทองคำเป็นหน่วยย่อย ลงทุน ออมทอง รับจำนำทอง และการรับขายฝากทอง โดยมีการเปิดสาขาให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไปจนถึงการให้บริการ ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งนี่เอง ทำให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้ 24 ชั่วโมง
อีกทั้ง ผู้ค้าทองรายใหญ่มีข้อได้เปรียบด้านการให้บริการ ที่หลากหลาย มีการประกอบธุรกิจมายาวนานทำให้มีความน่าเชื่อถือในด้านมาตรฐานทองคำ รวมถึงการรับประกันราคา รับซื้อคืนทองคำที่ค่อนข้างสูง หากเป็นทองคำที่ถูกซื้อออกไปจากร้านเดียวกัน ทำให้ปัจจุบันผู้ค้าทองรายใหญ่มีฐานลูกค้า จำนวนมาก ทั้งรายย่อย และนักลงทุน ขณะที่ผู้ค้าทองรายกลางและเล็กยังมีรูปแบบการให้บริการที่จำกัด โดยส่วนใหญ่ เป็นร้านทองในท้องถิ่น ที่ให้บริการซื้อขาย รับจำนำทอง และรับขายฝากทองสำหรับผู้บริโภค และนักลงทุนในพื้นที่เท่านั้น
กล่าวมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า แม้รายได้ของธุรกิจค้าทองโดยรวมในไทยจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ค้าทองคำ ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนขายที่ปรับเพิ่มขึ้น จากราคาทองคำพุ่งสูงมาก จนส่งผลต่ออัตรากำไรต่ำ
“ช่วงปี 2019-2022 รายได้ของธุรกิจทองคำ ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ราว 17%ต่อปี ขณะที่ต้นทุนขาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อทองคำ ขยายตัวในอัตราที่สูงกว่า อีกทั้ง ค่ากำเหน็จทองรูปพรรณ ที่จะช่วยให้ผู้ค้าทอง สามารถส่งผ่านต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นไปยังผู้ซื้อทองคำ รวมถึงสามารถกำหนดอัตรากำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อ และราคาขายได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 500-1,000 บาท/บาททองคำ และมีโอกาสปรับขึ้นได้ไม่มาก จากแรงกดดันด้าน การแข่งขันในระดับสูงในตลาดค้าทอง”
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องเตรียมพร้อมรับมือต่อวิกฤติ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ห่วงโซ่อุปทานทองคำของโลกหยุดชะงัก จากสถานการณ์ต่างๆ เช่น ภาวะสงคราม โรคระบาด นโยบายการควบคุมนำเข้าและส่งออกทองคำระหว่างประเทศ ปัญหาด้านการขนส่ง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำมีความผันผวน และอาจรุนแรงไปจนถึงภาวะขาดแคลนทองคำ
ทั้งนี้ พบว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2024 จำนวนธุรกิจค้าทอง จดทะเบียนเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ค้าทองขนาดเล็ก ที่มีทุนจดทะเบียน ไม่เกิน 3 ล้านบาท อย่างไรก็ดี จากรายได้โดยรวมของธุรกิจค้าทองในไทยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจค้าทอง ยังได้รับความสนใจในการประกอบกิจการ สะท้อนจากจำนวนธุรกิจค้าทองจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ก็ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ , SCB EIC
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney