เงินทุนสะสมเริ่มไม่พอ! กลุ่ม SMEs อสังหาฯ จมวิกฤติ ขอรัฐบาลเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ก่อนต้องปลดคนงาน

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เงินทุนสะสมเริ่มไม่พอ! กลุ่ม SMEs อสังหาฯ จมวิกฤติ ขอรัฐบาลเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ก่อนต้องปลดคนงาน

Date Time: 18 ก.ค. 2567 14:11 น.

Video

เก็บเงินก็ยาก ลงทุนก็เสี่ยง คนไทยรอดจากความจนยาก? กับ ดร.บุรินทร์ อดุลวัฒนะ | Thairath Money Night Stand EP.17

Summary

ตลาดที่อยู่อาศัย ดิ่ง! พ่นพิษ ธุรกิจห่วงโซ่ตั้งแต่รับเหมาก่อสร้างยันจัดสวน กลุ่มผู้ประกอบการรวมตัวแสดงจุดยืน ธุรกิจวิกฤติกว่าช่วงต้มยำกุ้ง บางแห่งเงินทุนสะสมเริ่มไม่พอ เริ่มประคองชีวิตลูกจ้างไม่ไหว ระบุ ถ้ารัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เพิ่มเติม อาจได้เห็นภาพปลดลดคนงาน ผลกระทบโดมิโน กำลังซื้อ แบบวงกว้าง!

Latest


“ปัจจุบัน บริษัทดำเนินกิจการเข้าสู่ปีที่ 32 แล้ว มีพนักงานภายในองค์กรประมาณ 470 คน ต้องยอมลดสัดส่วนกำไรเพื่อให้ได้มีปริมาณงานเข้ามาหล่อเลี้ยงองค์กร เป็นการรักษาสถานะบริษัทให้คงอยู่และให้ทุกคนในบริษัทยังมีงานทำ”

“พนักงานภายในองค์กรประมาณ 215 คน เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวอย่างมาก จนส่งผลกระทบให้บริษัทไม่มีการเรียกสินค้าเข้าโครงการต่างๆ (ไม่มียอดรายการในการผลิตงาน) ไปจนถึงรายการที่ผลิตแล้วเลื่อนส่งสินค้าแบบไม่มีกำหนด”

นี่คือประโยคบอกเล่าบางส่วนของกลุ่มธุรกิจ SMEs ในห่วงโซ่ซัพพลายภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งบริษัทประเภทผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ออกแบบ โรงงานวัสดุก่อสร้าง กลุ่มผู้ประกอบการด้านการตกแต่งสถานที่และการจัดสวน 

ซึ่งบางแห่งเผยว่า ดำเนินธุรกิจมายาวนานมากกว่า 60 ปี บางรายเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่เพิ่งเปิดกิจการมาได้ไม่ถึง 10 ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือต้นทุนกิจการที่กำลังแบกชีวิตพนักงานตั้งแต่หลับสิบไปจนถึงห้าร้อยชีวิต ให้อยู่รอดผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ 

จนนำมาสู่การรวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ห้มากขึ้น อย่างเร่งด่วน ก่อนจะเกิดผลกระทบลุกลามจนนำไปสู่การปลดคนงาน ส่งผลต่อกำลังซื้อของประเทศในวงกว้าง 

SMEs อสังหาฯ ลุกฮือ ชี้วิกฤติรอบนี้หนักกว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง 



โดยในแถลงการณ์ กลุ่ม SMEs อสังหาฯ ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบในเรื่องของปริมาณงานที่ได้ต่อเนื่อง จากตลาดอสังหาฯ ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด บางแห่งการเงินเริ่มมีความฝืดเคือง เนื่องจากภาระเงินกู้และดอกเบี้ยธนาคารที่กู้ยืมในช่วงโควิด-19

ทำให้พนักงานภายในบริษัทขาดสภาพคล่องในการดำเนินชีวิต ส่งผลกระทบทั้งบริษัทและพนักงานทุกครัวเรือน เพราะผลกระทบต่อเนื่อง จากตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว แผนงานชะลอในทุก Developer ทำให้รายรับลดลง 

 

บ้างได้รับผลกระทบหนักจากลูกค้าค้างชำระหนี้การค้าเป็นเวลายาวนานเสี่ยงหนี้สูญ จนต้องกู้เงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมากเพื่อให้บริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอ

ใจความที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ระบุว่า วิกฤติที่เผชิญอยู่ในขณะนี้รุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยเผชิญมา และเทียบได้กับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ถึงแม้จะมองดูผิวเผินไม่ได้รุนแรงเท่าปี 2540 

นั่นเพราะว่าปี 2540 เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มองเห็นความเสียหายได้ชัดเจน แต่ในวิกฤติครั้งนี้เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเริ่มชัดเจนในช่วงโควิด-19 และในครั้งนั้นผู้ประกอบการได้ปรับตัวรอบใหญ่ไปแล้ว ทั้งการปรับโครงสร้างพนักงาน การปรับลดสวัสดิการ ลดเวลาการทำงาน การขยายฐานลูกค้าใหม่ 

อย่างไรก็ตาม ภาระเงินกู้และดอกเบี้ยธนาคารที่กู้ยืมในช่วงโควิด-19 ยังคงส่งผลให้การเงินในปัจจุบันมีความฝืดเคือง ซึ่งหลายแห่งพยายามบริหารจัดการและรับมืออย่างเต็มกำลัง 

แต่หากสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดอสังหาฯ ยังไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะส่งผลกระทบลุกลามไปสู่การปลดพนักงานก็เป็นได้ ซึ่งส่วนนี้จะส่งผลต่อฐานกำลังสำคัญของประเทศ เนื่องจากภาค SMEs ถือเป็นผู้จ้างงานที่คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดของประเทศไทย

7 ข้อเรียกร้อง ประคองธุรกิจอสังหาฯ 


จึงอยากส่งเสียงถึงรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยข้อเสนอแนะ ประกอบไปด้วย 7 ข้อเรียกร้อง ดังนี้ 

  1. มาตรการซอฟต์โลนสำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้สามารถนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน ให้สามารถรับมือกับสถานการลูกหนี้การค้าค้างชำระเงินนานขึ้นได้
  2. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก รวมถึงยกเลิกมาตรการ LTV สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 และที่ 3
  3. มาตรการดึงกำลังซื้อจากกลุ่มคนทำงานที่เป็นต่างชาติ (Expat) เช่น ขยายเพดานการถือครองที่ดิน เป็น 99 ปี และขยายเพดานสัดส่วนการซื้อคอนโดมิเนียมสูงขึ้นเป็น 75%
  4. มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน ด้วยการลดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมการโอนและการลดหย่อนภาษี
  5. ลดภาษีนำเข้าสำหรับภาคการผลิต เพื่อช่วยลดราคาต้นทุนการผลิต
  6. ลดค่าสาธารณูปโภคสำหรับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงลดเงินสมทบในการนำส่งประกันสังคม
  7. จัดตั้งหน่วยงาน หรือองค์กรเพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการ เพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำ

นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลออกมา รวมถึงอยู่ระหว่างการพิจารณา มองว่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี ซึ่งอยากจะร้องขอภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันในการทำงาน สนับสนุนให้เกิดขึ้นจริง เพื่อบรรเทาปัญหาที่อาจจะก่อให้เกิดวิกฤติในกลุ่มของตนในอนาคตอันใกล้นี้ หลังปัจจุบันผู้ประกอบการหลายภาคส่วนได้ทำการปลดพนักงานไปแล้วจำนวนมาก บางแห่งลดพนักงานไปมากกว่าครึ่ง.

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ