
วานนี้ ที่ประชุม ครม.อนุมัติ รายงานความคืบหน้า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ ซึ่งคาดจะมีผลบังคับใช้ ช่วง ก.ย.-ต.ค.นี้ และจะถือเป็นการปรับขึ้นค่าแรง รอบที่ 3 ของปี 2567
หลังจากช่วงต้นปี มีการพิจารณาปรับขึ้นรายจังหวัด วันละ 2-16 บาท มาแล้ว ก่อนวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา มีการปรับขึ้นอีกรอบ เป็นวันละ 400 บาท ให้กับลูกจ้างในบางพื้นที่ ของ 10 จังหวัด สำหรับกิจการโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน คณะกรรมการไตรภาคี มอบคณะอนุกรรมการจังหวัด เสนอสูตรการคำนวณแบบลอยตัวให้เหมาะสม โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.นี้ ก่อนประกาศใช้จริงพร้อมกันทั่วประเทศ
เปิดข้อมูลวิจัยของ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ หากปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน จะกระทบใครบ้าง และกระทบอย่างไร? โดยตั้งสมมติฐานที่ว่า ลูกจ้าง ทำงาน 26 วันต่อเดือน โดยหากค่าจ้างอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน จะคิดเป็น 7,800 บาทต่อเดือน แต่หากค่าจ้างอยู่ 400 บาทต่อวัน จะคิดเป็น 10,400 บาทต่อเดือน
ซึ่งมีทั้งภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ และบางธุรกิจ ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น โทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ การเงิน เนื่องจาก ผู้ประกอบการ เกิน 60% ไม่ได้มีลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 400 บาทต่อวัน (10,400 บาทต่อเดือน) จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก
อย่างไรก็ดี กลุ่มภาคการผลิต ทั้งอาหาร สิ่งทอ ยาง อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีลูกจ้างบางส่วนหรือทั้งหมดที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 400 บาทต่อวัน จึงน่าจะได้รับผลกระทบมากกว่า
ซึ่งมีผู้ประกอบการราว 60% หรือประมาณ 25,000 รายที่น่าจะได้รับผลกระทบแน่ๆ แต่อาจจะมีผลกระทบทางอ้อมถึงลูกจ้างกลุ่มอื่นๆ ด้วย เพราะธุรกิจบางราย อาจจำเป็นต้องปรับค่าจ้างของลูกจ้างกลุ่มอื่นๆ ในบริษัทให้สูงขึ้นตามกันไปด้วย เพื่อให้สะท้อนถึงผลิตภาพ หรือความสามารถที่ต่างกัน
ตัวอย่างเช่น หากเดิมเคยมีลูกจ้างอยู่สามกลุ่มและได้เงินเดือน 8,000, 10,400 และ 15,000 บาท ตามระดับความสามารถ หากปรับเงินเดือนของลูกจ้างกลุ่มที่เคยได้ต่ำที่สุดขึ้นมาเท่าลูกจ้างกลุ่มตรงกลาง ก็น่าจะมีความจำเป็นที่ต้องปรับค่าจ้างของลูกจ้างกลุ่มตรงกลางให้สูงขึ้นด้วยเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงาน
ผลวิจัยดังกล่าว ยังชี้ให้เห็นว่า เกือบๆ ครึ่งของลูกจ้างในระบบ อายุต่ำกว่า 35 ปี สัดส่วนลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างน้อยกว่า 400 บาทต่อวัน มักกระจายอยู่ในทุกกลุ่มอายุประมาณ 30–34 ปี ยกเว้นกลุ่มอายุ 18–24 ปี ซึ่งมีสัดส่วนคนที่ได้รับเงินเดือนน้อยกว่า 10,400 มากที่สุดถึง 54% โดยส่วนมากลูกจ้างที่อายุน้อย ยังมีอายุงานน้อย ประสบการณ์น้อย จึงมักได้รับค่าจ้างต่ำกว่าลูกจ้างที่อายุมาก และกลุ่มที่เข้าตลาดแรงงานในช่วงอายุ 18–20 ปี ก็มักจะเป็นกลุ่มที่จบการศึกษาเพียงระดับมัธยมศึกษา จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกจ้างกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างต่ำอยู่มาก
"หากมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันเท่ากันทั่วประเทศ จังหวัดที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ในระดับสูงที่สุด เช่น ภูเก็ต ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าจังหวัดที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในระดับต่ำ ขณะที่บางจังหวัดที่มีค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ในระดับต่ำ เช่น น่าน ตรัง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 18–21%"
ขณะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในมิติต่างๆ จากการปรับตัวของนายจ้างมีดังนี้
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney