
เสียงเพลงไทยที่แฟนคลับต่างชาติตะโกนแข่งกันร้องเสียงดังกึกก้อง กระหึ่มไปทั้งฮอลล์ และลานจัดแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ในประเทศต่างๆทั่วเอเชีย โดยเฉพาะในหัวเมืองต่างๆของจีน ไม่ว่าจะในงาน “มิวสิก เฟสติวัล” หรือ “งานแฟนมีตติ้ง” ของ “พีพี-บิวกิ้น” กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และพุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ศิลปินนักร้องนักแสดงรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ
นอกจากความสามารถ เสน่ห์ และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของ“พีพี-บิวกิ้น”ที่ครองหัวใจแฟนคลับทั่วเอเชีย ทั้งหมดนี้เป็นผลผลิตที่มีจุดเริ่มต้นมาจากซีรีส์เรื่อง “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” หรือ “ I Told Sunset About You” ของค่ายนาดาว บางกอก ที่เผยแพร่ครั้งแรกทาง LineTV เมื่อปลายปี 2563 ใน EP1 และ EP2 ปลายปี 64 ในช่วงที่ทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 ถือเป็นหนึ่งในผลงาน “มาสเตอร์พีช”ของวงการซีรีส์ไทยที่ได้รับการยอมรับ จนสามารถคว้ารางวัลใหญ่ จากหลากหลายเวทีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
“แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ซีรีส์ของช่วงวัย Coming of age แนวโรแมนติก-ดราม่า เรื่องราวของเด็กผู้ชาย 2 คนที่ไม่รู้หัวใจตัวเอง นำแสดงโดย “พีพี” รับบทเป็น “โอ้เอ๋ว” และ “บิวกิ้น” รับบท “เต๋” ที่มี “บอส...นฤเบศ กูโน” เป็นผู้กำกับ และร่วมเขียนบท ตลอดทั้งเรื่องมีการถ่ายทำโดยใช้โลเกชันที่จังหวัดภูเก็ต ซีรีส์เรื่องนี้ EP 1 มี 5 ตอน และมี The Documentary เบื้องหลังการถ่ายทำอีก 8 ตอน
นอกจากสถานที่ถ่ายทำที่สวยงาม มีมนต์ขลัง ในตรอกซอกซอยมุมเมืองเก่าและธรรมชาติที่งดงามของภูเก็ตแล้ว เนื้อหาของเรื่องที่โรแมนติก-ดราม่า-เศร้า-สุข-สนุกของชีวิตเด็กวัยมัธยม และเรื่องราวครอบครัวคนจีนขาย “หมี่ฮกเกี้ยน” ในตลาดของ “เต๋” กับ “โอ้เอ๋ว” ลูกเจ้าของโรงแรมบนเกาะ กับความรู้สึกที่ต้องปิดบังซ่อนเร้นของเด็กผู้ชาย 2 คน ที่ถลำลึก “เกินกว่าคำว่าเพื่อน” ซึ่งนักแสดงทั้งคู่ แสดงได้อย่างถึงอารมณ์สมบทบาท ชวนให้ผู้ชมติดตามและหลงใหลแล้ว
ซีรีส์เรื่องนี้ยังมีบทเพลงประกอบที่ไพเราะซาบซึ้ง อย่างเพลง “กีดกัน” ที่ถูกขับร้องถ่ายทอดได้อย่างกินใจโดย “บิวกิ้น” และบทเพลงภาษาจีน “หรูเหอ” ที่ขับร้องโดย “พีพี” ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง รวมทั้งเพลงที่สะท้อนเส้นเรื่องและความรู้สึกของตัวละครอย่าง “แปลไม่ออก” “โคตรพิเศษ” และ “ไม่ปล่อยมือ” ที่ล้วนสร้างความจดจำและความประทับใจให้กับผู้ชม ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆทั้งภาพ มุมกล้อง การเล่าเรื่อง แสง สี การคุมโทนสีน้ำเงิน-แดง ที่สื่อถึง 2 ตัวนักแสดงเอกของเรื่อง
ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ได้สร้างพลังซุปเปอร์ “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่ผู้ชมได้เกิดความรัก ความประทับใจต่อตัวละคร ต่อเรื่องราว สถานที่ และส่งต่อความรักมาถึง “พีพี-บิวกิ้น” จนถึงทุกวันนี้
พลังของ “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือทันทีเปิดประเทศให้ผู้คนเดินทางข้ามเมืองเข้าประเทศได้ตั้งแต่ช่วงกลางปี 65 ได้เกิดปรากฏการณ์การท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ในเส้นทางและสถานที่ที่ปรากฏในฉากสำคัญ โดยนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะหนุ่มสาวชาวจีนต่างพากันบินเข้าภูเก็ตเพื่อ “ตามรอยเต๋–โอ้เอ๋ว” ปลุกเศรษฐกิจท่องเที่ยวภูเก็ตให้ฟื้นตัวกลับมาคึกคักทั่วเมือง และยังเปิดเส้นทางหรือสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆในภูเก็ต ขณะที่ “หมี่ฮกเกี้ยน” และ “น้ำแข็งไสโอ้เอ๋ว” อาหารและขนมพื้นเมืองภูเก็ตก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ “ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม” อดีตนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เคยให้สัมภาษณ์ว่า กระแสการท่องเที่ยวภูเก็ตจากซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ดีมาก โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองเก่า (old town) และแหลมพรหมเทพ มีนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายเดินทางเข้าสู่พื้นที่เพิ่มขึ้นจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เดิมหลายจุดในเมืองเก่าไม่ใช่พื้นที่ที่นักท่องเที่ยวจะเดินถึง นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองเก่าอย่างมากจะเน้นถ่ายรูปกับสตรีทอาร์ตและบ้านเรือนสวยๆในเส้นหลัก ขณะที่ถนนดีบุก เดิมอยู่นอกเส้นทางก็ได้รับความสนใจมากขึ้นจากเรื่องนี้ พอนักท่องเที่ยวเดินไปในจุดที่ปกติไม่ได้เดิน ก็ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวกระจายออกไปด้วย และสิ่งสำคัญที่ทำให้คนไทยจำนวนมากเดินทางตามรอยซีรีส์เรื่องนี้ นอกจากความประทับใจในเนื้อหาและนักแสดงแล้ว คือการที่ซีรีส์เลือกนำเสนอบรรยากาศละเมียดละไมและความสวยงามของภูเก็ต
ขณะที่ “แจ๋นจี้” ผู้ประกอบการท่องเที่ยวพื้นที่ภูเก็ต เล่าว่า ตั้งแต่ซีรีส์เรื่องนี้จบลง มีการจัดโปรแกรมทัวร์ให้นักท่องเที่ยวตามรอย “เต๋-โอ้เอ๋ว” จนถึงปัจจุบันทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ แม้จีนจะเป็นชาติหลักแต่ยังมีชาติอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เพื่อไปเสพบรรยากาศ ทานอาหารและถ่ายรูปตามจุด check in ต่างๆทั้ง หาดยะนุ้ย แหลมพรหมเทพ ร้านดีบุก พิพิธภัณฑ์ไทยหัว บ้านโอ้เอ๋ว ที่เป็นบ้านทรงไทยสไตล์ชิโน-ยูโรเปียนและชิงช้าที่โรงแรมเคปพันวา ร้านโกปี๊เตี้ยม ศาลเจ้าแสงธรรม เป็นต้น โดยมีคนจีนที่รักซีรีส์เรื่องนี้ได้ให้พาไปถ่ายภาพสถานที่ต่างๆเพื่อจัดนิทรรศการภาพถ่าย นอกจากนี้ยังมีเหล่ายูทูบเบอร์ของจีนมารีวิวและแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์จำนวนมาก
บริบทของการเป็นพลังซอฟท์พาวเวอร์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวที่ภูเก็ตเท่านั้น นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังวางแผนเที่ยวในพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งในกรุงเทพมหานคร เพื่อติดตามเข้าร่วมงานอีเวนต์หรืองานเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆที่ “พีพี-บิวกิ้น” ได้รับเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์จำนวนมาก โดยเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันตั้งแต่ “หัวจดเท้า-เช้าจดเย็น” จากการที่ทั้ง 2 คน มีอิมเมจภาพลักษณ์และมายด์เซ็ตที่ดี มีความสามารถ และเป็นที่รักของผู้คนในวงกว้าง
ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคน Gen Z-Gen Y ที่มีกำลังซื้อ ทั้งค่าเดินทาง-ค่าอาหาร-ที่พัก รวมทั้งการซื้อของที่ระลึกในงานคอนเสิร์ต และการ Support ซื้อผลิตภัณฑ์ที่ “พีพี-บิวกิ้น” เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนไม่น้อย!!
ซอฟต์พาวเวอร์จาก “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ แต่ได้ต่อยอดไปถึงการส่งออก T-POP วัฒนธรรมเพลงไทย เมื่อเด็กทั้ง 2 คนนี้ยังมีความสามารถในการร้องเพลง ที่นอกจากจะสร้างความประทับใจในเพลงประกอบซีรีส์แล้ว “พีพี-บิวกิ้น” ยังได้ออกซิงเกิลและอัลบั้มเพลงมาอย่างต่อเนื่อง มีเพลงฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนได้รับเชิญให้ไปร่วมงาน “SUMMER SONIC MUSIC FESTIVAL” งานเทศกาลดนตรีซึ่งจัดขึ้นที่ญี่ปุ่น และเทศกาลมิวสิกเฟสติวัลในเมืองใหญ่ของจีนหลายครั้ง โดยทั้งคู่ได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม สร้างปรากฏการณ์เสียงร้องเพลงไทยกระหึ่มในต่างแดน!!
รวมทั้งล่าสุดการทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวของ “บิวกิ้น” ศิลปินคนแรกของไทยที่จัดโซโลคอนเสิร์ตเดี่ยวในเมืองต่างๆของจีนก่อนมาจบที่ฮ่องกงและมาเก๊า ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นบัตร Sold out ทุกที่นั่งทุกรอบการแสดง ภายในเวลาอันรวดเร็ว
ถือเป็นการส่งออก T-POP ของไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างเห็นผลชัดเจนที่สุด!!
ไม่เพียงเท่านั้น งานแฟนมีตติ้งที่ “พีพี-บิวกิ้น” และงานคอนเสิร์ตของศิลปินคนอื่นๆที่มี “พีพี-บิวกิ้น” ร่วมขึ้นเวทีเป็นแขกรับเชิญ ตลอดจน เทมโป้คอนเสิร์ต ของ “บิวกิ้น” ที่จัดขึ้นในไทย ยังพบว่ามีแฟนคลับต่างชาติจองตั๋วบินเข้ามาร่วมชมจำนวนมาก หรือมากกว่าครึ่งของจำนวนที่นั่งทั้งหมด
จากการสัมภาษณ์แฟนคลับชาวจีนบอกว่า “เธอและเพื่อนๆ รักและประทับใจซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” มาก และเป็นแรงกระตุ้นให้เธออยากมาเที่ยวเมืองไทย เธอได้ไปตามรอย “เต๋-โอ้เอ๋ว” ที่ภูเก็ตมาแล้ว และเธออยากมา เจอ “พีพี-บิวกิ้น” ที่เมืองไทย ตอน “บิวกิ้น” จัดแฟนมีตติ้งที่ไทยเธอจองบัตรไม่ได้ เพราะหมดเร็วมาก แต่เธอกับเพื่อนๆได้มีโอกาสบินมางาน “แฟนมีตติ้งพีพี” โดยยอมซื้อบัตรที่มีคนเอามาขายต่อแบบบวกราคาเพิ่ม หลังจากงานนั้น ยิ่งทำให้เธอรักและประทับใจ “พีพี-บิวกิ้น” มากขึ้น ซึ่งเธอได้ซื้อของที่ระลึกในงานแฟนมีตและยังได้ซื้อสินค้าที่ “พีพี-บิวกิ้น” เป็นพรีเซนเตอร์กลับไปเป็นของฝากเพื่อนๆที่ไม่ได้มาด้วย
ขณะที่แฟนคลับสาวจีนอีกกลุ่ม เผยว่า เธอและเพื่อนๆได้จัดทัวร์มาดู “เทมโป้คอนเสิร์ต” ของบิวกิ้นที่เมืองไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ส่วนเป้าหมายการกลับมาเมืองไทยรอบนี้ พวกเธอมาเพื่อซัพพอร์ตหนังเรื่อง “หลานม่า” ที่ “บิวกิ้น” นำแสดง โดยได้มาร่วมงานรอบกาลาของ “หลานม่า” เมื่อวันที่ 1 เม.ย.เพื่อมารอพบ “พีพี-บิวกิ้น” และรอดู “หลานม่า” ที่เปิดให้ดูรอบแรกในวันที่ 4 เม.ย.67 และหลังดู “หลานม่า” จบ พวกเธอต้องบินกลับจีนทันที สาวๆกลุ่มนี้ยังพากันโชว์รูปถ่ายและคลิปที่พวกเธอได้ไปงานมิวสิกเฟสติวัล ที่ “พีพี-บิวกิ้น” ได้ไปร่วมโชว์ที่จีนทุกครั้ง รวมทั้งยังได้ไปงานแฟนมีตติ้งที่จัดขึ้นที่ไต้หวันและฮ่องกงด้วย
ขณะที่แฟนคลับชาวไทยที่ได้ชม “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” บอกว่า “ที่ผ่านมาไปเที่ยวภูเก็ตก็จะไปทะเลดูเมืองเก่าแบบไม่ได้มีเป้าหมาย แต่เมื่อได้ดูซีรีส์เรื่องนี้จบ เขามองภูเก็ตเปลี่ยนไปและการไปเที่ยวภูเก็ตก็มีความหมายมากกว่าเดิมเดินไปทางไหนก็จะเห็นและนึกถึงซีนและฉากที่ “เต๋กับโอ้เอ๋ว” ใช้ชีวิตอยู่ในซีรีส์ มันมีความงดงามประทับอยู่ในใจ”
ทั้งนี้ มีข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในส่วนของกองตลาด เอเชียตะวันออก ระบุว่า พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนหลังโควิดเปลี่ยนแปลงไป โดยนิยมเดินทางท่องเที่ยวกันเองมากขึ้นกว่าการเดินทางมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะคนจีนรุ่นใหม่มักจับกลุ่มเดินทางมากันเอง ทั้งกลุ่มครอบครัวและกลุ่มแฟนซีรีส์ไทย โดยปี 62 ก่อนโควิดสัดส่วนการเดินทางมาเองอยู่ที่ 61% และมากับกรุ๊ปทัวร์ 39% หลังโควิดกลุ่มเดินทางมาเองเพิ่มขึ้นเป็น 82% ขณะที่กรุ๊ปทัวร์ลดลงเหลือ 18%
นอกจากนี้ กลุ่มที่เข้ามาท่องเที่ยวไทยที่เป็นแฟนซีรีส์ ส่วนใหญ่ เป็นกลุ่ม Gen Z-Gen Y ที่มีกำลังซื้อสูง ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของ ททท. โดยจากข้อมูลพบว่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนในไทยเพิ่มขึ้นมาก จากปี 62 ที่มีการใช้จ่ายต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่ 6,100 บาทต่อคนต่อวัน แต่ปี 66 เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 บาทต่อคนต่อวัน และคาดว่าปี 67 การใช้จ่ายน่าจะเพิ่มขึ้นอีก ส่วนระยะเวลาการเข้ามาท่องเที่ยวปี 62 เฉลี่ยอยู่ที่ 7.5 วัน ขณะที่่ปี 66 เพิ่มขึ้นเป็น 7.9 วัน
สำหรับอิทธิพลของซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ในช่วงแรกกระแสแรงมากจนเกิดทัวร์ตามรอยซีรีส์ มีการทำโลเกชันพาไปจุด Check in สถานที่ในเรื่องของคนจีนจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีอิทธิพลอยู่และน่าจะเป็นต้นแบบจุดเริ่มต้นของการใส่ชุดนักเรียนมาท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์และท่องเที่ยวในสถานที่อื่นๆในไทยด้วย ขณะที่ในโลกออนไลน์ พบว่าในแอปเหว่ยป๋อของจีน มีการพูดถึงหรือมีการใช้แฮชแท็ก #แปลรักฉันด้วยใจเธอ สูงถึง 1,600 ล้านครั้ง ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยของแฟนคลับกลุ่มนี้
ซีรีส์วายและภาพยนตร์ รวมทั้งอุตสาหกรรม T-POP ของไทยมีการพัฒนาขึ้นไปมาก จนสามารถสร้างซอฟต์พาวเวอร์จูงใจ ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยได้เป็นจำนวนมาก โดยมาติดตามผลงานของศิลปิน และถือโอกาสท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆของเมืองไทยด้วย ซึ่ง ททท.ได้มีการทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ เพราะถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมีกำลังซื้อ สร้างรายได้เข้าประเทศและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย.
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม